21/12/55

Lego mindstorm, basic programming


ช่วง 2 - 3 ปีมานี้ พอดีเริ่มติดเลโก้เอามาก ตอนเด็กๆ เริ่มจากชอบโธมัส (รถไฟที่มันพูดได้) แล้วพอโตหน่อยก็มาชอบเล่นเลโก้ ผมเลยพยายามหาของที่จะต่อยอดให้กับพอดี เลยเล็งเจ้าตัวเลโก้ชุด Mindstorm ไว้ แต่ไม่กล้าซื้อเพราะแพงมาก ในบ้านเราจะหาได้ตั้งแต่ราคา 15k - 19k (ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ราคา แต่กลัวว่าซื้อมาแล้วจะเล่นไม่คุ้ม) ช่วงสักสองปีก่อนเคยซื้อชุดประกอบหุ่นยนต์ของ i-Style มาให้ แต่เล่นไปได้แป๊บเดียวก็เลิก คือ พอดีชอบนะ แต่มันยากไปหน่อย (ชุดต่อมันตัวเล็ก นิ้วเด็กเลยจับไม่ถนัด) กอปรกับ มันเป็นชุดเรียนรู้เรื่องไฟฟ้า ซึ่งในตอนนั้นพอดี 8 ขวบเล่นแล้วไม่เข้าใจ มันเลยไม่สนุก (คือ ได้แค่ต่อตามแบบ) แล้วไอ้ผมจะสอนก็ไม่มีปัญญาเพราะไม่มีความรู้เลย

แผนการเรื่องหุ่นยนต์และ Mindstorm เลยพับเสื่อไปพักใหญ่ จนเมื่อช่วงต้นเดือน ธ.ค. (9 ธ.ค. 55) มีเหตุให้ต้องไปเป็นกรรมการตัดสินงานประกวดของเด็กประถม และมัธยมของ สพฐ. แล้วเขามีแข่งหุ่นยนต์กันด้วย เลยได้เอาเรื่องหุ่นยนต์กลับมาคิดใหม่

เนื่องจากผมไม่มีความรู้เรื่องหุ่นยนต์มาก่อนเลย นอกจากเคยเห็นเขาแข่งกันตามทีวี แล้วก็เห็นมีแข่งขันระหว่างประเทศเป็นระยะๆ ผมเลยลองหาข้อมูลเพิ่มเติม ก็เห็นมีชุดประกอบหุ่นขายอยู่ ตั้งแต่ 2500 ขึ้นไป มีทั้งที่เขียนภาษา Logo, Basic ไปจนถึงภาษา C ได้ แต่คิดว่าพอดีไม่น่าจะชอบ เพราะจริงๆ แล้วมันชอบเลโก้เป็นหลัก ดังนั้นถ้าจะให้ทำในสิ่งที่ชอบอยู่ มันก็คงต้องเป็น Mindstorm เท่านั้น

ตัว Lego mindstorm เป็นชุดหุ่นยนต์เลโก้ที่สามารถใส่โปรแกรมลงไปได้ โดยรองรับภาษา Logo และ C (เสียดายที่ไม่มีภาษา Basic) ในชุดจะมีเซ็นเซอร์ต่างๆ ให้เล่นได้ คือ เด็กจะสามารถประกอบหุ่นจากเลโก้ (ก็คือ จะรู้สึกว่าได้เล่นเลโก้อยู่) แล้วค่อยเขียนคำสั่งโหลดเข้าไปในตัวหุ่นเพื่อควบคุม ผมลองหาข้อมูลของที่อบรมโดยใช้ Mindstorm ปรากฏว่ามี (เสียดายที่ไม่ได้หาตั้งนาน คือ ไม่นึกว่ามันจะมี) ก็เลยพาพอดีไปทดลองเรียนดู

ก็คุยกับพอดีว่า จะพาไปทดลองเรียน พอดีก็เปรยๆ ว่า ไม่เอาที่ต้องใช้คอมนะ ไม่อยากทำในคอม (คือ เหมือนจะเป็นเด็กที่ไม่ชอบคอมพิวเตอร์สักเท่าไหร่ แต่ก็ใช้คอมเป็นตามระดับของชั้นเรียนตามปกตินะ ไม่แน่ใจว่าสาเหตุมาจากอะไร แต่ผมก็ไม่เคยบังคับให้ต้องฝีกคอมหรือใช้คอมให้เป็นนะ) พอไปถึงที่เรียนก็ออกอาการชอบใจมาก คือ ประมาณว่าตื่นเต้น เพราะเป็นสิ่งที่ชอบอยู่แล้ว

อันนี้ภาพบรรยากาศของที่ไปทดลองเรียนมา ที่ robot4kid ประชาชื่น สถานที่พอใช้ได้ ชอบที่เด็กน้อย จะได้ไม่วุ่นวายมาก











หุ่นที่ทำออกมาเป็นหุ่นสั่งงานด้วยเสียง คือ ได้ยินเสียงก็เดิน พอได้ยินเสียงอีกครั้งก็หยุด เป็นหุ่นที่ทำตามแบบเฉยๆ แต่เห็นว่ามีโมดิฟายเพิ่มส่วนของแขนให้สามารถรับส่งของได้ด้วย

หลังจากทดลองเรียนแล้ว ผมพยายามหาข้อมูลของที่เรียนเพิ่มเติม เผื่อจะเจอถูกกว่า ปรากฏว่าไม่มี คือ ราคามันก็ใกล้ๆ กันหมด

อันนี้รายการของที่ที่เปิดสอน เท่าที่หามาได้

  • ictschool, http://www.ictschool.ac.th, 02-947-5752, แฟชั่นไอซ์แลนด์, 4000 / 5 ครั้ง / รวม 10 ชม., 400 บาท / ชม.
  • click robot, http://www.clickrobots.net, 089-482-8131, สาทร, ~4500 / 8 ครั้ง / รวม 16 ชม., ~281.25 บาท / ชม.
  • robot4kid, http://www.robot4kids.com, 089-140-5484, ประชาชื่น, ~7500 / 12 ครั้ง / รวม 24 ชม., ~312 บาท / ชม.
  • robot4kid, http://www.robot4kids.com, 089-1405484, Platinum place ซอย วัชรพล
  • imac, http://robo-mac.com/, http://imacsoroban.com, 081-713-8867, ลาดกระบัง
  • imac, http://robo-mac.com/, http://imacsoroban.com, 086-482-5633, 0-2539-9409, โชคชัย4

คิดว่าคงจบที่ robot4kid เพราะใกล้บ้านสุด

อีกโซลูชั่นนึงที่คิดไว้คือ ซื้อมาให้เล่นเอง เพราะเรียน 2 คอร์สก็แทบจะซื้อได้แล้ว แต่คิดไปคิดมาแล้ว ส่งไปเรียนดีกว่า เพราะ

  1. ผมเองก็ไม่มีความรู้มากนัก ถ้าผมเป็นคนสอนหลัก ก็จะไปได้ไม่ไกล
  2. ถ้าเรียนกับผมก็ดื้อได้อีก
  3. ไปเรียนที่ศูนย์อบรม ได้ความรู้และเทคนิคอื่นๆ
  4. ได้เก็งเผื่อส่งแข่งขันได้อีกด้วย คือ อยู่ในแวดวงจะได้รู้ข่าวสารกับเขา

จริงๆ ถ้าอยากจะสอนลูกหลานโดยให้เขียนภาษา Logo มันจะมีโปรแกรม Scratch ให้เล่น ประหยัดดี แต่เคยเอาให้เด็กๆ ที่บ้านเล่นแล้ว มันไม่ชอบกัน ก็เข้าใจอยู่ คือมันไม่ตื่นตาตื่นใจแหล่ะ

ตอนนี้ยังไม่ได้ส่งไปเรียน ตั้งใจว่าจะให้เริ่มเรียนเสาร์แรกหลังปีใหม่ แต่ไม่รู้จะได้ไม๊ เพราะก็มีอุปสรรคอยู่บ้าง :P

8/12/55

Life class

สืบเนื่องจาก ผมพยายามจะให้ลูกต้องใช้ความพยายามในการได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ คือ ไม่ใช่ว่าร้องแล้วก็ได้เลย (ซึ่งมีบางคนที่บ้านไม่เข้าใจ และมักทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม แต่อันนั้นเราจะยังไม่พูดถึง) ก่อนหน้านี้เด็กๆ เคยทำสร้อยข้อมือเอาไปขายที่ทำงาน (ซึ่งผมซื้อไว้ทั้งหมด เพราะของเด็กทำคงเอาไปขายใครไม่ได้) เด็กๆ ก็ดีใจว่าขายได้ จะได้เอาตังค์ไปซื้อของที่ต้องการได้ (ซึ่งก็มีคนที่บ้านไม่เข้าใจอีก พอได้ตังค์มาจะบังคับให้เก็บไว้ ไม่ให้ใช้ ซึ่งเด็กมันก็ไม่เกิดกำลังใจและแรงกระตุ้นสิครับ ซึ่งเราก็จะไม่พูดถึงในตอนนี้อีกอยู่ดี)

ประมาณเดือนที่แล้วเลยเกิดไอเดียว่า ชวนพอดีไปขายของที่ตลาดแถวบ้านดีกว่า คือ ให้เอาขางเล่นเก่าไปขาย เพื่อจะได้เอาตังค์มาซื้อกล่องใหม่ที่อยากได้

การขายของที่ตลาดได้ประโยชน์หลายอย่าง

  1. คิดเลขเก่ง หลายคนจะเห็นข้อดีที่ส่วนนี้ ซึ่งผมว่ามันไม่ใช่สาระ เพราะโตไปคนก็คิดเลขเก่งกันอยู่แล้ว
  2. กล้าที่จะพูดคุยกับคนแปลกหน้า (อันนี้ประเด็น)
  3. กล้านำเสนอสินค้า (อันนี้ประเด็น)
  4. รู้ที่จะตีมูลค่าสินค้า การประเมิน
  5. มีความอดทน (กว่าจะขายได้สักอัน)
  6. เรียนรู้ที่จะผิดหวัง (เลือกแล้วไม่ซื้อ)
  7. มีวินัย


ไปขายวันแรกพอดีสนุกมาก ขายได้นิดเดียว และพอดีก็ไม่ค่อยกล้าที่จะพูด

ส่วนอันนี้ขายครั้งที่ 4 ละ


พอเพียงตั้งเป็นร้านขายรูปวาด

พอเพียงตั้งร้านขายรูปวาด เนื่องจากชอบวาดรูป และผมเคยพาไปนั่งวาดรูปขายริมทางถนนคนเดินที่พัทยา ร้านของพอเพียงขายรูปไม่ได้เลย (ใครมันจะซื้อ) ผมกะว่าจะไปหากรอบรูปมาใส่ (คือ ขายกรอบรูปนั่นแหล่ะ) ให้พอเพียงคิดว่าขายได้

อันนี้ร้านของพอดี คือ คุณภริยาไปเอาของมาขายเพิ่ม

อันนี้ร้านของพอดี คือ คุณภริยาไปเอาของมาขายเพิ่ม ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่จุดประสงค์ของผม แต่ก็เอาเหอะ

ลีลาการขาย

กล่องนี้สนุกนะครับ

จัดของ จัดของ

ลูกค้ารายใหม่

ถือว่าเป็นกิจกรรมครอบครัวที่สนุกและได้ประโยชน์มาก ผมชอบที่จะทำอะไรแบบนี้มากกว่าที่จะส่งลูกไปเรียนพิเศษซึ่งผมว่ามันได้ความรู้ (ที่ไม่รู้จะได้ใช้เท่าไหร่) แต่มันไม่ได้ทักษะของการมีชีวิต

บทเรียนตลาดนัดพอดีได้อะไรมาค่อนข้างจะครบถ้วน ทั้งความอดทน ความผิดหวัง ความกล้า ยังขาดก็เรื่องของการบริหารจัดการ เพราะภริยาจะคุมเรื่องเงินทั้งหมด จริงๆ ผมอยากให้พอดีจัดการเอง ทั้งเรื่องราคา และสต๊อกสินค้า แต่คงยาก เพราะภริยาไม่ค่อยจะเห็นไปในทิศทางเดียวกับผม และมันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายๆ :P

อันนี้แถม พอดีเย็บกางเกงตูดขาดเอง ซาบซึ้ง น้ำตาไหล ยังไม่ได้ดูผลงาน แต่ถึงกับลงมือทำด้วยตัวเองโดยไม่เรียกร้องความช่วยเหลือจากใคร และไม่บ่นอะไร ผมว่านี่แหล่ะ คุณสมบัติของผู้ชาย แต่ปกติพอดีมันขี้โวยวายอ่ะนะ :P
 


จำนวนประชากรต้องควบคุม




สิ่งหนึ่งที่เคยคิดไว้คือ เรื่องความอดอยากและความลำบากของประชากรส่วนหนึ่ง (พูดถึงระดับโลกนะ ไม่ใช่ประเทศ) เท่าที่ดูส่วนใหญ่ประเทศที่ยากจน หรือมีความเป็นอยู่อย่างลำบาก มักจะเป็นประเทศที่ไม่มีการคุมกำเนิด หรือการคุมกำเนิดขัดกับความเชื่อ ศาสนา หรือวัฒนธรรมของถิ่นนั้นๆ การมีประชากรเกินกว่าทรัพยากรย่อมทำให้เกิดความขาดแคลน (แหงอยู่แล้ว) วิธีแก้มี 2 ทางคือ เพิ่มทรัพยากร หรือควบคุมจำนวนประชากร ในกรณีหลังคงใช้วิธีกำจัดทิ้งไม่ได้ ที่ทำได้คือ ต้องทำให้ค่อยๆ ลดลง ซึ่งก็คือการคุมกำเนิดนั่นเอง

ส่วนตัวแล้ว มองว่ายังไงเสียการแก้ปัญหาระยะยาวที่ถูกต้องก็ต้องใช้วิธีควบคุมจำนวนประชากร นอกจากเรื่องของการลดลงมาเพื่อให้สอดคล้องกับทรัพยากรแล้ว ยังควรที่จะลดลงเพื่อให้หุ่นยนต์เข้ามาแทนที่ด้วย อันนี้ลองมองจากประเทศของเรา ถ้าในหลายๆ ภาคธุรกิจเอาหุ่นยนต์มาใช้แทนคน คนคงตกงานเยอะมาก เช่น พนักงานธนาคาร (อันนี้จะค่อยๆ เห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ) คนเก็บเงินค่าทางด่วน เจ้าหน้าที่ภาครัฐในหลายส่วนงานโดยเฉพาะงานเดินเอกสาร ฯลฯ เราจะเห็นว่างานพวกนี้มันใช้หุ่นยนต์ทำได้ แต่ก็ไม่สามารถทำได้ในปัจจุบันเพราะถ้าคนตกงานเยอะคงแย่ ดังนั้น ถ้าลดประชากรลงได้ แล้วเอาหุ่นเข้ามาแทน ทรัพยากรก็จะมากพอสำหรับจำนวนของมนุษย์

เราจะลดประชากรยังไง

ขอเสนอนโยบาย คุมกำเนิดตั้งแต่เกิด ทุกคนถูกคุมกำเนิดชั่วคราวตั้งแต่เกิด และถ้าคุณอยากมีลูก คุณต้องหาเงินมาจ่ายให้รัฐในจำนวนหนึ่ง (แล้วแต่จะกำหนด) เพื่อให้ได้สิทธิ์ในการมีลูก และหนึ่งคนจะมีสิทธิ์มีลูกได้คนเดียว (หนึ่งคู่ = 2 คน) โดยต้องอิงตามเชื้อชาติและเศรษฐกิจด้วย เช่น คนอังกฤษต้องจ่ายแพงกว่าคนไทย ถ้าทุกคนจ่ายเท่ากันทั้งโลก (เหมือนซื้อ Windows) คนไทยคงได้สูยพันธุ์ สิ่งที่ต้องระวังคือ การลดจำนวนประชากรจะต้องค่อยๆ ลด แล้วค่อยๆ เอาหุ่นเข้ามาแทน เพราะถ้าอยู่ดีๆ ลดฮวบเลย พอเวลาผ่านไปคนสูงอายุจะเยอะเกินกว่าที่คนรุ่นหลังจะดูแลได้ไหว

ถ้าลดจำนวนประชากรได้ด้วยวิธีนี้ ในอนาคตก็จะไม่มีคนลำบากหรืออดอยากอีกเลย

#เพ้อเจ้อ

5/12/55

Happy daddy day


วันนี้เป็นวันหยุดวันหนึ่ง เป็นวันสบายๆ ที่ไม่ต้องไปทำงาน พ่อผมไม่สบายอยู่ ตจว. น้ำท่วมปอด (คนอื่นๆ วิเคราะห์ให้จากอาการ) เนื่องจากการเป็นสิงห์อมควัน และไม่ยอมไปหาหมอ ผมไม่ได้ขึ้นไปเยี่ยมพ่อ เพราะมันเหนื่อยเกินไปที่จะไป/กลับในวันเดียว และผมก็ไม่คุ้นเคยที่จะคุยกับพ่อสักเท่าไหร่ เพราะที่ผ่านมา (20 กว่าปี) พ่อผมให้ความสำคัญกับเพื่อนซะเป็นส่วนใหญ่ ผมเลยไม่ค่อยคุ้นเคยที่จะคุยกับพ่อนัก และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมไม่ค่อยสนใจจะเข้าสังคมกับเพื่อนฝูงสักเท่าไหร่ เพราะผมก็ไม่อยากจะให้ลูกๆ รู้สึกแปลกๆ หรือไม่คุ้นเคยที่จะเข้าหาผมในอนาคต แม้ว่าเขาจะอยาก :)

ผมไม่ได้รู้สึกอยากจะให้พ่อหายป่วยสักเท่าไหร่ ที่อยากจริงๆ คือ อยากให้หายจากความทรมาน (จากอาการป่วย) ไม่ใช่เพราะว่าเป็นพ่อผม แต่ผมไม่อยากให้ใครต้องทรมานเลยตะหาก คือ ถ้าตายก็ตาย ถ้าหายก็หาย แค่ไม่อยากให้ทรมาน :)

สุขสันต์วันพ่อครับ

23/11/55

ประชาธิปไตยไม่สำคัญเลย ถ้า


สมัยเรียนมีช่วงหนึ่งที่แผนก (เรียกว่าแผนก ตอนนั้นเรียน ปวส.) มาร่วมหารือกันว่า จะรับน้องที่โรงเรียนหรือนอกสถานที่ ซึ่งที่แผนกมีอยู่ 3 ห้อง มีห้อง 1, 2 และภาคพิเศษอีกห้องนึง

หลังจากประชุมกันในห้อง 1 และห้อง 2 (เวลาเรียนตรงกัน เลยหารือ 2 ห้องได้ก่อน) ความเห็นแตกเป็นสองทาง กลุ่มหนึ่ง (ผมด้วย) เสนอความเห็นว่า อย่าเพิ่งฟันธง เดี๋ยวรอคุยกับภาคพิเศษก่อน ทันใดนั้นผู้มีสิทธิ์มีเสียงท่านหนึ่งที่มีอำนาจพอควรเสนอว่า ไม่ต้องเรียกมาคุยหรอก "มากคนมากความ" เขาว่าอย่างนี้

มันช่างเป็นวิธีคิดที่น่ากลัวมาก ประชาธิปไตยไม่ใช่เรื่องที่สำคัญเลย หากคุณอยู่ในสถานะของความเป็นผู้มีอำนาจ

เรื่องรับน้องสรุปว่า ไปรับกันนอกสถานที่ (ผมลงเสียงว่าให้รับในโรงเรียน) แต่ผมไม่ไป เพราะไม่ได้สนใจอะไรอยู่แล้ว

6/11/55

The est perience


ผมคอยเผ้าดูแนวทางของเสริมสุขอยู่ตลอดว่า หลังจากเตียงหักกับ Pepsi แล้วจะเป็นยังไง ซึ่งหลายๆ ท่านก็คงเดาเหมือนกันว่าเสริมสุขจะทำน้ำดำของตัวเอง ซึ่งวันนี้เราก็ได้เห็นกันแล้วว่ามันคือ est

จากประสบการณ์ est ของผม บอกได้ว่า ไม่ผ่าน รีวิวสั้นๆ เป็นตามนี้


  • แรกเห็นพบว่า ขวดและสีสันน่าสนใจดี
  • ชื่อสามารถสั่งได้อย่างไม่เคอะเขิน คือ ถ้าออกมาชื่อแบบ คิกคาปู้ ผมคงไม่กล้าสั่ง จริงๆ แล้ว แม้ว่า เอส จะออกเสียงยากไปบ้าง และอาจจะมีผลในช่วงแรกต่อการที่จะออร์เดอร์ แต่ถือว่าไม่ร้ายแรงเท่า คิกคาปู้ แน่ๆ
  • รสชาติ ทันทีที่สัมผัสลิ้นพบว่า มันอร่อย ซ่ามาก หวานน้อย ให้ความรู้สึกแบบโค้ก แต่พอความซ่าลดลงจนหายไปหมดแล้ว ความหวานเริ่มเด่นขึ้นมา ซึ่งมันไม่หวานแบบน้ำดำทั่วไป เพราะมันมีกลิ่นของโคล่า ที่คล้ายลูกอมรสโคล่าราคาถูกๆ แต่รสอะไรนั้นไม่สำคัญนอกจากว่า มันไม่อร่อย แต่จริงๆ แล้วเรื่องของลิ้นคงตัดสินแทนกันไม่ได้ ในระยะยาวแล้ว ยอดขายจะเป็นตัวตัดสินเอง


เชื่อว่า est ไม่ตาย แต่จะไม่อยู่ในกระแส คนจะสั่งน้อยเพราะมันไม่อร่อย แต่จะไม่ถึงกับขายไม่ได้ เพราะช่องทางการจัดส่งและจัดจำหน่ายของเสริมสุขดีอยู่แล้ว ก็คงอยู่ไปได้เรื่อยๆ ในฐานะน้ำทางเลือก

ให้คะแนน อันนี้คะแนนสำนักส่วนตัวนะครับ

  1. Coke
  2. RC
  3. A&W
  4. Pepsi
  5. Big cola
  6. est
  7. Mirinda root beer

แม่ไม่ฟังหนูเลย

พอเพียงมีการบ้านที่ต้องทำส่งครูเป็นธงชาติ ทำออกมาเองได้ตามภาพ


แต่ไม่ได้เอาไปส่ง เพราะช่วยกันทำอันใหม่ให้ไปส่งแทน

เช้าวันนี้จับเด็กๆ อาบน้ำเตรียมจะไปโรงเรียน เห็นเจ้าธงอันเก่าอยู่ที่พื้นเลยหยิบขึ้นมาจะเอาไปเก็บให้เรียบร้อย ปรากฏว่าพบเมสเสจเล็กๆ ด้านหลังธง


ดูไม่ค่อยมีอะไร แต่ด้วยตัวของข้อความแล้วมันสื่อความหมายและอันตรายไว้มาก และที่อันตรายมากกว่านั้นคือ แฟนผมไม่ได้ตระหนักเลย

ตอนนี้พอเพียงอายุ 6 ขวบ อีก 5 ปีได้รู้เรื่องแน่ แฟนผมยังไม่ยอมปรับตัวและวิธีสื่อสารกับผู้อื่น ในตอนนี้มันจะยังไม่เป็นปัญหา แต่ในอีกไม่นานหรอก

T T ไม่อยากจะคิดเลย

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ พอเพียงไม่ได้บอกใครแบบที่เขียนในธง ไม่ได้เขียนเพื่อเอามาให้ใครอ่าน แล้วในอีก 5 - 10 ปี พอเพียงจะมีเพื่อนฝูง พอเพียงจะมีธงผืนใหม่ และพอเพียงคงไม่สนใจอีกต่อไปว่าแม่จะฟังหนูหรือเปล่า เพราะเธอก็คงจะมีคนอื่นพร้อมที่จะฟังอยู่แล้ว คงต้องไปลุ้นให้พอเพียงมีเพื่อนที่ดีแล้วกัน เพราะจะให้แม่ฟังหนูได้นั้น คงไม่มีวัน

19/10/55

ชนชั้นล่าง



ไม่ได้มารณรงค์ให้บริจาคถุงเท้าครับ แต่มาชวนให้สงสัยว่า ทำไมเราต้องทำให้เขาน่าสงสาร ? นั่นน่ะสิ สงสัยกันไหม

  • ขั้นแรก เราก็ดูก่อนว่าเรามีอะไร
  • เสร็จแล้วเราก็บอกว่า พวกคุณไม่มีของเหล่านี้
  • บอกว่าเขาต้องมีถึงจะถูก
  • เมื่อเขาไม่มี เขาจึงน่าสงสาร
  • เมื่อเราสงสารเขา แปลว่าเราเหนือกว่าเขา

มันเป็นวิธีง่ายๆ ที่จะทำให้คนกลุ่มหนึ่งเหนือกว่าคนอีกกลุ่มหนึ่ง ในความเป็นจริงแล้ว อาจไม่ได้เกิดขึ้นด้วยความตั้งใจ แต่มันเกิดขึ้นแล้ว

ตามภาพตัวอย่าง เรามาลองคิดให้มันใกล้กับภาพให้มากขึ้น

  • เรามีถุงเท้า
  • เขาไม่มีถุงเท้า
  • ต้องมีถึงจะถูก (สังคมบอก และกระทรวงศึกษาบังคับ)
  • เมื่อเขาไม่มี เขาจึงน่าสงสาร (ทุกคนยัดเยียดความด้อยโอกาสให้เขา)
  • เมื่อเราสงสารเขา แปลว่าเราเหนือกว่าเขา (เราเป็นผู้เหนือกว่าผู้ไม่มีถุงเท้า เขาจน)

วิธีแก้โดยทั่วไปก็พยายามยกระดับ เสริมสร้างการศึกษา เอาคอมพิวเตอร์เก่าๆ ไปยัดเยียดให้ ซึ่งวิธีแก้ปัญหาแบบนี้จะทำให้เขาถูกมอง และเขาเองก็จะรู้สึกว่าเป็นชนชั้นล่างไปตลอดชีวิต ถ้าจะยกระดับได้ ต้องมี iPhone แต่งตัวดีๆ ทำตัวให้เหมือนคนกรุง ดังนั้นวิธีแก้ปัญหาที่คนชั้นล่างส่วนใหญ่เลือกจึงหนีไม่พ้น "ผัวฝรั่ง" เพราะมันแก้ปัญหาได้แน่นอน และรวดเร็วกว่า แม้จะต้องเสี่ยงแต่ก็คุ้ม

ถ้าผมเป็นนายก


  • ในกรณีของการศึกษา ให้นักเรียนเลิกแต่งเครื่องแบบ ใส่ชุดพื้นบ้าน หรือชุดที่เขามี ไม่ให้เขารู้สีกว่าด้อยโอกาส เพราะชุดนักเรียนของเขาเป็นแบบนั้นเอง
  • ปรับปรุงหลักสูตรการศึกษา เรียนในสิ่งที่พ่อแม่เขาเชี่ยวชาญ วิชาปลูกข้าว วิชาคำนวนความชื้นข้าว วิชาส่งออกข้าวโดยตรงไม่ผ่านคนกลาง เพื่อให้เขารู้สึกว่า สิ่งที่เขาศึกษาเป็นวิชาเฉพาะ เป็นสิ่งที่ชนชั้นกลางในภูมิภาคของเขาปฏิบัติกัน เขาเป็นผู้เหนือกว่า เพราะคนในเมืองเป็นผู้ด้อยโอกาส ไม่มีเครื่องมือให้เรียนวิชาปลูกข้าว


เลิกกดขี่กันด้วยความสงสารเสียที พวกเขายืนด้วยลำแข้งตัวเองได้ แต่พวกเรานี่แหล่ะ ที่คอยยัดเยียดความคิดให้พวกเขาว่า เขานั้นเป็นผู้ด้อยโอกาส

17/9/55

Mobile phone UX design

คุณสัมพันธ์จุดประเด็นเรื่องมือถือไว้ใน UX Group ใน FB เลยอยากจะแชร์ไอเดียบ้างว่า มือถือของผมมันต้องเป็นอย่างไร

ดูภาพก่อน

ขยายความ

มือถือของผมต้องสามารถใช้งานด้วยมือข้างเดียวได้ เพราะผมต้องถือไอติมโคนด้วยมือซ้ายในขณะที่มือขวาใช้ Financisto ทำบัญชีไปพร้อมกันได้

  • A เป็นตำแหน่งที่อุ้งมือเราจะโดนเมื่อเอื้อมนิ้วโป้งไปแตะที่ตำแหน่ง E ดังนั้นตำแหน่ง A ต้องไม่มี Soft button เพราะอุ้งมือจะไปโดนปุ่มเมื่อพยายามแตะตำแหน่ง E ที่อยากให้เป็นคือ มีปุ่มเปิดปิดหน้าจอ เพราะตำแหน่งนี้กดด้วยนิ้วโป้งได้สะดวก (มือถือส่วนใหญ่ชอบเอาปุ่มเปิดไปไว้ด้านบน ซึ่งมันไม่ถนัด)
  • B รูเสียบหูฟัง เมื่อเสียบหูฟังแล้วเอามือถือยัดลงในกระเป๋ากางเกง (แบบคว่ำหัวลงไป) สายหูฟังจะโผล่ขึ้นมาตรงๆ
  • C เพิ่ม ลด ปิด เสียง เปลี่ยนเพลง เราสามารถกดได้ด้วยนิ้วโป้ง และเมื่อมันอยู่ในกระเป๋ากางเกง เราสามารถล้วงมือลงไปคลำๆ แล้วกดปุ่มได้
  • D ชัตเตอร์ เราสามารถพลิกเครื่องด้วยมือเดียว แล้วใช้นิ้วชี้เพื่อกดชัตเตอร์ได้ ส่วนปุ่มด้านล่างก็จะยังสามารถใช้นิ้วโป้งกดได้อยู่
  • E นิ้วโป้งต้องกดถึงโดยไม่ลำบาก แปลว่า จอต้องไม่ใหญ่เกินไปนัก ปัจจุบันใช้ 3.5" รู้สึกว่ากำลังพอดี

9/9/55

Elevator is not a guillotine

เขียนหัวเรื่องผิด ต้อง Escalator ไม่ใช่ Elevator - -"

เห็นข่าวเด็กโดนบันไดเลื่อนเอาหัวไปโดนหนีบคอหักตาย สิ่งที่เราจะเห็นโดยทั่วไปคือ ทุกคนจะบอกว่าเด็กผิดเพราะประมาท ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเราไม่หาทางไขในแบบที่มันเข้าท่ากว่านี้

อันนี้เป็นแนวทางที่ผมเสนอ คือ แก้ที่การออกแบบ


แบบด้านบนเป็นแบบปกติ คือพื้นชั้นสองจะมีลักษณะเป็นมุมตัด (ตำแหน่ง A) เมื่อคนถูกเลื่อนขึ้นไปถ้าชะโงกหัวออกมาก็จะเหมือนกันกิโยตินที่เลื่อนขึ้น (กิโยตินปกติจะเป็นมีดตัดเลื่อนลงมาตัด) แนวทางแก้ของผมคือ พื้นชั้นสองทำเป็นสโลปแทนที่จะเป็นมุมตัด (ตำแหน่ง B) ถ้าชะโงกหัวออก ก็จะโดนแนวสโลปค่อยๆ ดันให้หัวกลับเข้ามาเอง คือจะไม่สามารถโดนหนีบไป

แนวทางแก้ยังมีอีกหลายวิธี ที่ไม่ใช่ทำใจยอมรับและมาพูดกันว่า อย่าประมาท เพราะในกรณีนี้ มันแก้ได้ และมูลค่าความสูญเสียของความประมาณในเรื่องเล็กๆ แค่นี้ไม่ควรถึงชีวิต

ปล.กรณีใกล้เคียงกันคือ หัวแยกบนทางด่วนที่เป็นตัวช้อนให้รถลอยจนตกทางด่วน
ปล2. เข้าใจว่าไม่ควรประมาท แต่ถ้ามันแก้ด้วยวิธีง่ายๆ ได้ ทำไม่เราถึงไม่ควรจะทำมันล่ะ ?

3/9/55

Credit card


เครดิตการ์ด มหันตภัยรายจ่าย เคยได้ยินเรื่องภัยจากบัตรพลาสติกจากเรื่องเล่ามากมาย จากคนใกล้ตัวก็พอสมควร แต่ไม่นึกว่าจะเจอกับตัวเอง สาเหตุมาจากที่ เดือนที่ผ่านมา ผมไม่เห็นใบแจ้งหนี้บัตรเครดิต เลยถามแฟนไปว่า เห็นใบแจ้งนี้บ้างมั้ย ยังไม่ได้จ่ายเลย เลยงวดแล้วด้วย (โดนดอกอย่างไม่ต้องคิดนาน) จนผ่านไปสักสองวัน แฟนก็บอกว่า แม่ผม เป็นหนี้บัตรเครดิตหลายบาท (คือแฟนนึกว่าของผม เลยไปฉีกมาดู) เห็นยอดเงินก็เงิบไปเลย 2 ใบซะด้วย (ไม่รู้ยังมีใบอื่นอีกหรือเปล่า) ผมเลยต้องไปเอามาเคลียร์อย่างช่วยไปได้ ถึงกับจนกันไปเลยเชียว T T

งานนี้สงสารสุดคือแฟนผม เพราะคุณเมียแกก็หวังว่า จะรีบๆ ปั๊มตังค์เพื่อมาโปะรถ เป็นอันว่าฝันสลายกันไป

ตอนนี้ก็เคลียร์หนี้ในบัตรแม่จนหมดละ (เท่าที่รู้นะ) ที่ส่วนอื่นๆ ก็ค่อยๆ ว่ากันไป

ที่ได้เงิบอีกอย่างคือ เป็นอันว่าตอนนี้รู้แล้วว่าแม่ไม่สามารถผ่อนรถได้ เป็นอันว่า ไอ้สองคันที่ถอยมาต้องจ่ายเองทั้งคู่ จัดไป

แต่โชคยังดีที่ผมก็ไม่ได้เสียศูนย์เท่าไหร่นัก ประการแรก เตรียมใจไว้แล้วว่าสักวันหนึ่งเงินก้อนที่เก็บไว้มันต้องมีอันได้ใช้ เพราะเรื่องของอนาคตมันไม่อาจรู้ได้ ดังนั้นความมั่นคงในโลกทุนนิยมคือ การมีเงินสดไว้ในมือ :) เพียงแต่ไม่นึกว่าไอ้เงินก้อนนั้นจะมาสูญไปเพราะเรื่องแบบนี้ แล้วก็หวังว่าจะไม่มีเหตุให้ต้องใช้เงินจนกว่าจะหาเงินก้อนใหม่มาติดมือได้ ช่วงนี้ก็ต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง ส่วนเรื่องรถ ผมก็เตรียมใจไว้แล้ว ว่ามันจะสร้างสุขให้ได้ไม่กี่วัน (คุณเมียดีใจอยู่ 3 วัน หลังจากนั้นไม่พอใจอะไรก็ด่าผมเหมือนเดิม ความดีนั้นได้หมดสิ้นไปแล้วทั้งที่งวดแรกยังไม่ได้จ่ายเลย)

กรณีบัตรเครดิตสำหรับผม ตอนนี้ใช้อยู่ใบเดียว ก่อนหน้านี้เคยมีประสบการณ์จากการเอาไว้จ่ายเงินเวลาซื้อของต่างๆ ใช้ไปใช้มา กลายเป็นว่า หนี้ในบัตรมันคงที่อยู่ที่ 10k กลายเป็นว่า เงินออกปุ๊บต้องจ่ายบัตรปั๊บ ผมเลยระแวงเลิกใช้ไปหลายปี แต่ตอนนี้กลับมาใช้ใหม่แล้ว โดยมีนโยบายว่า ใช้กี่บาท วันรุ่งขึ้นก็เดินไปจ่ายเลย เพื่อที่เราจะได้รู้ยอดเงินสดในปัจจุบัน แถมยังได้แต้มด้วย (เลวจริงๆ)

ส่วนของแม่ไม่รู้ว่าจะยังไงต่อ เพราะถ้าเสพติดการใช้จ่ายแล้ว ไม่ใช่ของที่จะเลิกได้ง่ายๆ แน่ มันก็คงคล้ายติดการพนันแหล่ะ เบื้องต้นกะว่าจะเอาแม่เหล็กมาถูแถบแม่เหล็กทิ้งไปก่อนให้ใช้ไม่ได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปทำใบใหม่มารึเปล่า

การมีชีวิต ต้องอยู่อย่างระมัดระวัง :)

27/8/55

Enable php5.3 for Dreamhost


มีเหตุให้ต้องใช้ PHP 5.3 ใน Dreamhost ซึ่งค่าปริยายมันจะเป็น PHP 5.2 เลยต้องใช้กำลังภายในกันหน่อย

ขั้นตอนตามนี้

เปิดใช้ PHP 5.3 Fast CGI ในหน้า Manage Domain ใน panel.dreamhost ในโดเมนที่ต้องการ เสร็จแล้วที่ user ที่เป็นเจ้าของเว็บ ให้สร้างไฟล์ ~/.php/5.3/phprc พร้อมกับใส่ข้อมูลตามนี้
error_reporting = E_ALL & ~E_DEPRECATED & ~E_NOTICE
extension = soap.so < ถ้าต้องใช้
extension = iconv.so < ถ้าต้องใช้
สร้างไฟล์ ~/.php/5.3/php.ini พร้อมกับใส่ข้อมูลตามนี้
log_errors = 1
error_log = /home/pordee/php.log
สร้าง .htaccess สำหรับเว็บที่ต้องการใช้
<IfModule mod_rewrite.c>
  RewriteEngine On
  RewriteCond %{HTTP:Authorization} ^(.*)
  RewriteRule ^(.*) - [E=HTTP_AUTHORIZATION:%1]
  RewriteCond %{REQUEST_FILENAME} !-d
  RewriteCond %{REQUEST_FILENAME} !-f
  RewriteRule ^(.*)$ index.php [L]
</IfModule>

อวสาน

24/7/55

เราจะตอบสนองต่อการถูกตำหนิอย่างไร


เคยลองสักเกตไหมว่า เวลาที่คุณถูกตำหนิคุณตอบสนองต่อคำตำหนิ หรือคนตำหนิอย่างไร ?

คนตำหนิจะมีอยู่ 3 รูปแบบด้วยกัน

  1. ติเพราะชอบติ
    1. เป็นลูกช่างติ
    2. ติเพื่อหล่อ คือ ติดเพื่อให้ตัวเองดูดีขึ้น
  2. ติเพื่อแนะนำว่าแบบนี้ไม่ดี

วิธีในการตอบสนองต่อการตินั้น โดยทั่วไปจะมีดังนั้น

ติโดยใช้อารมณ์ คนส่วนใหญ่จะใช้อบรมณ์ตอบทันที เพราะมันเหมือนโดนด่าแหล่ะ ว่ากันจริงๆ เว้นแต่ผู้ติอยู่ในสถานะที่สูงกว่า
ติโดยไม่ใช่อารมณ์ คนส่วนใหญ่จะปฏิเสธทันที หรือให้เหตุผลในทันทีว่าไอ้ที่ผิดนั้นไม่ใช่กู

สองอย่างนี้เป็นอะไรที่เราเจอบ่อย

ส่วนในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่เราควรทำเมื่อถูกตำหนิคือ พิจารณาว่าที่เขาพูดนั้นจริงไม๊

  1. ถ้าไม่จริง ให้ดูว่าเป็นพวกติเพื่อหล่อ หรือเป็นลูกช่างติไม๊ ถ้าใช้ก็ปล่อยผ่านไป
  2. ถ้าจริง ก็พิจารณาไปตามจริง ถ้าเราผิดก็ขอโทษไป หรือถ้าผิดโดยปัจจัยอื่นๆ ก็อธิบายพร้อมเสนอแนวทางแก้ไข

สิ่งที่ยากสุดคือ วางเรื่องของการใช้อารมณ์ออกไป เพราะไม่งั้นแล้ว มันจะใช้เหตุผลกันไม่ได้

A brand new car


รถที่สั่งตั้งแต่มอร์เตอร์โชว์ช่วงเมษามาส่งลง ได้คันแรกเป็น Almera ซึ่งก็ไม่มีอะไรพิเศษ ก็เหมือนรถคันอื่นๆ แหล่ะ

ทีนี้ก็จะแนะนำสำหรับคนอื่นๆ ที่คิดจะซื้อรถ เรื่องควรซื้อหรือไม่คงไม่พูดถึงนะครับ เอาว่าถ้าตัดสินใจจะซื้อแล้วต้องทำไงบ้าง

  • ขั้นแรก ตกลงกับเซลให้เรียบร้อย ว่าเราจะได้อะไรบ้าง บางอย่างคุยปากเปล่าดันพูดถึงคนละอย่างก็มี
  • ของแถมต่างๆ เลขรุ่นที่จอง ของที่ได้มีอะไรบ้าง จดไว้เลย ของผมมีปัญหาตรงจองกันเกือบครึ่งปี ถีงเวลารับรถลืมเองว่าตอนที่จองนั้นมีอะไรบ้าง :P
  • ถีงเวลารับรถ หาใบตรวจสอบรถไปด้วย ลองเสริชดู จะมีคนทำไว้อยู่แล้ว เป็นใบไว้ให้เช็คไล่ดูทีละรายการว่าต้องตรวจสอบอะไรบ้าง

ได้มาคันนึงแล้ว ส่วนอีกคันได้ในอาทิตย์นี้ล่ะ มาพร้อมๆ กัน เยี่ยมไปเลย :P

21/6/55

How to solve student gangster


เราจะแก้ปัญหานักเรียนตีกันได้อย่างไร นี่เป็นคำถามยอดฮิตที่ผมยังไม่เห็นคำตอบที่เหมาะสม และเนื่องจากผมเองก็เคยเป็นเด็กช่าง อยู่ในสังคมของกลุ่มเพื่อนประเภทนี้ถึง 5 ปี เรียกได้ว่าเป็นผู้มีประสบการณ์ตรง ดังนั้นเลยอยากแนะวิธีแก้ปัญหาที่สามารถนำไปใช้ได้จริง ไม่ใช่ข้อเสนอประเภท ปิดโรงเรียน กำหนดโทษประหาร อะไรประมาณนี้

วิธีแก้มีข้อเดียวเลย คือ ให้มีกิจกรรมระหว่างโรงเรียนอย่างสม่ำเสมอ รายละเอียดดังนี้

  • ไม่ใช่กิจกรรมที่แบ่งฝ่าย เช่น เตะบอลระหว่างโรงเรียน A และ โรงเรียน B
  • เป็นกิจกรรมสร้างสรร ที่ไม่มีการแข่งขัน เช่น ออกค่ายสร้างโรงเรียน
  • จัดเป็นกลุ่มย่อย เช่น ปี2 ห้อง1 ของทุกโรงเรียน ไปช่วยสร้างโรงเรียน A ที่ภาคใต้ ปี2 ห้อง2 ไปช่วยสร้างศาลาวัดที่ภาคอิสาน หรืออาจจัดเป็นกลุ่มเล็กกว่านี้ แต่ทุกโรงเรียนต้องได้มีกิจกรรมร่วมกันอย่างทั่วถึง
  • จัดเวียนห้องเรียนไปเรื่อยๆ พยายามให้เด็กแต่ละโรงเรียนได้เป็นเพื่อนกัน ได้รู้จักกันให้มากที่สุด
  • กันเด็กหรือศิษย์เก่าที่อยู่นอกสายการศึกษา (พวกที่เรียนจบไปแล้ว) ออกไปอย่างน้อย 10 ปี (ประมาณว่า ฆ่าตัดตอน) พวกรุ่นพี่ห้ามเข้ามาในโรงเรียน ห้ามมาจัดเลี้ยงรุ่น หรือมาวุ่นวายในโรงเรียนเด็ดขาด ตรงนี้อาจโดนวิจารณ์ว่า เด็กจะขาดการมีปฏิสัมพันธ์กับคนที่อยู่ในสายอาชีพ ทำให้อาจจะลำบากเรื่องการทำงานในอนาคต แต่อันนี้ต้องแลกล่ะ

เชื่อว่าเพื่อนบ้าพลังหลายๆ คนถ้าเห็นข้อแนะนำประมาณนี้ อาจบอกว่าไอ้เวรนี่ไม่รักโรงเรียน แต่ไอ้การที่ส่งเสริมการตีกันให้เป็นวัฒนธรรมเนี่ย มันบ่งบอกว่ารักโรงเรียนตรงไหน - -"

17/6/55

My first experience: iPhone and MBK


ได้รับสองประสบการณ์เหนือความคาดหมายสองอย่างพร้อมกัน ออกตัวก่อนว่า ผมไม่เคยมีประสบการณ์ทั้งการซื้อมือถือที่มาบุญครอง และประสบการณ์การใช้งานอุปกรณ์ iOS เลย

ท้าวความก่อนเข้าสู่ My first experience เนื่องจากพ่อผมอยากใช้ iPhone ซึ่งพ่อผมก็ใช้ iPhone จีน (iPhone4 ของปลอมราคา 1200 แถมเตารีดด้วย) ซึ่งผมก็ตั้งใจว่าจะซื้อ iPhone จริงให้พ่อได้ใช้บ้าง เพราะพ่อผมก็ไม่ค่อยยอมซื้อของดีๆ ใช้ เพราะจะเก็บตังค์อย่างเดียว ผมก็รอมาเรื่อย รอให้รุ่นเก่าราคาตก (ตั้งใจจะซื้อรุ่นเก่าให้ เพราะพ่อผมใช้แค่โทรอย่างเดียวอยู่แล้ว) ซึ่งก็รอแล้วรอเล่า จนล่าสุดคุณพ่อตาเพิ่งเสียไป ซึ่งแกก็ได้ BlackBerky (ชื่อ BlackBerky นะ ไม่ใช่ BlackBerry) รุ่นที่เป็นกระดาษเผาไปให้ ซึ่งมันจะไปถึงรึเปล่าก็ไม่รู้ แล้วถ้าไปถึง มันจะไปถึงเป็นมือถือจริงๆ หรือไปเป็นมือถือกระดาษ หรือไปเป็นขี้เถ้า เราก็ไม่อาจทราบได้ เลยเกิดสะท้อนใจขึ้นมาว่า ผมไม่อยากรอจนต้องซื้อมือถือกระดาษให้พ่อ ในเมื่อพ่อยังอยู่ที่จะใช้ iPhone จริงๆ ได้ ผมจะยังรอไปทำไม เมื่อตัดสินใจได้ผมก็ควบรถไฟฟ้าไปมาบุญครองอย่างไม่ลังเล โดยผมเล็งเป็น iPhone 3G หรือ 3Gs ไว้ เพราะดูๆ ราคามาพักใหญ่แล้ว

ถึงมาบุญครอง ผมก็เดินดูอย่างเร็วๆ เพราะต้องรีบกลับไปเผาพ่อตา (ชิ่งออกมาหลังสวดเช้าเสร็จ) ได้ตัวเลขราคาที่ 6500 และ 8500 สำหรับ 3G และ 3Gs ก็เลยบอกร้านไปว่า ขอ 3Gs ตัวนึง ไม่ลงโปรแกรม ไม่เจลเบรค ซึ่งที่ร้านก็ไม่มีของ ก็วิ่งๆ ไปหาของที่ร้านอื่นมาให้ ซึ่งผมก็ไม่ซีเรียสที่จะโดนฟันกำไรบ้าง เพราะเราทำงานแล้วก็เข้าใจกันอยู่ของแค่นี้ไม่มีปัญหา พอเครื่องมาถึง ก็เป็นกล่อง iPhone 3Gs ห่อพลาสติกสวยงาม เป็นของมือหนึ่ง เพราะโดยปกติผมไม่ซื้อสินค้าอิเลคทรอนิคมือสองอยู่แล้ว คนขายแกะห่อออกมาพร้อมเปิดเครื่อง ผมก็กดๆ ดูว่า เออ ใช้งานได้ กดเช็ค OS ดูก็ปรากฏว่าเป็น iOS 4 ซึ่งก็โอเค ไม่มีปัญหา เดี๋ยวกลับไปอัปเกรดเอง ถึงบ้านพอเอาเครื่องให้พ่อปรากฏว่าพ่อไม่ยอมเอา ประมาณว่ารู้สึกว่าตัวเองจะใช้ไม่คุ้ม ก็เลยไม่รู้จะทำไงก็เป็นอันว่าเอาเครื่องนี้ให้เมียไป แต่ก็ยังไม่ได้ทำอะไรกับเครื่องเพราะไม่ว่าง

เช้าวันรุ่งขึ้นก็พาพ่อตาไปลองอังคารในวันอาทิตย์ เสร็จก็ไปบ้านพี่สาวเมีย พี่แกเกิดจะให้อัป OS ของ iPhone 4 ให้ ซึ่งอย่างที่บอกว่าไม่มีประสบการณ์ เลยได้หาข้อมูลนิดนึงว่าเครื่องมันเจลหรือเปล่า (กลัวว่าเจลแล้วอัปเครื่องจะพัง) เลยได้รู้ว่าถ้าเครื่องเจลแล้วมันจะมีโปรแกรมชื่อ Cydia อยู่ในเครื่อง แต่ก็ไม่ได้อัปให้แก เพราะเน็ตที่บ้านเขาช้ามาก

พอกลับมาถึงบ้านเปิดเครื่องตัวเองดูเพื่อจะลงโปรแกรมแล้วตั้งค่าต่างๆ ให้เมียใช้ เปิดหน้าจอขึ้นมาเลื่อนๆ ดู ปรากฏว่า ในเครื่องเรามีโปรแกรม Cydia หว่ะ เปิด App Store ดู แม่งก็เสีอกขึ้นมาเป็นภาษาจีนสวยงามเลย ฉิบหายละ แม่งเอาเครื่องเหี้ยไรให้กูวะเนี่ย เริ่มเอะใจว่า มันอาจเป็นเครื่องมือสอง ที่เอามาทำแพกเกจใหม่ให้มันสวยๆ เพราะตอนหยิบดูหลังจากชาร์จเห็นว่าที่ตูดเครื่องตรงพอร์ตด้านล่างมันดูเยินๆ นิดนึง ก็เลย เอาละ กูโดนละไอ้มาบุญครอง ก็ไม่รู้จะทำไงเพราะซื้อมาแล้ว ถือเป็นค่าโง่ไป ก็ไม่ได้อยากจะปล่อยให้ลอยนวลนะ แต่ไม่รู้จะทำไง เพราะถ้าไปโวย มันก็ต้องบอกว่านี่ไม่ใช่เครื่องร้านมัน หรือไม่ก็ เราเจลเองทำเยินเองแล้วมาโวย

กลับมาที่เครื่อง ก็เลยโหลด iTune มาเพื่อจะอัปเกรด iOS เป็น 5 ก็จิ้มๆ กดๆ ทำมั่วไปตามขั้นตอน ปรากฏว่าเครื่องบอกว่ามีปัญหาอะไรสักอย่างต้องคีนค่าโรงงาน ก็เริ่มสงสัย เอ หรือเพราะเครื่องมันเจลหว่า ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันอัปเกรดเสร็จเลยต้องรีเซตหรือว่ามันเป็นอะไร ก็เลยรีเซตไปตามขั้นตอนของมัน ปรากฏว่า มันก็ขึ้นหน้าจอคล้ายๆ ตอนที่เราเปิดใช้ Android ใหม่ ที่มีให้เลือกภาษาอะไรต่างๆ ก็กดไปเรื่อยๆ จนมาถึงหน้า Activate iPhone ปรากฏว่ามัน Activate ไม่ผ่าน ก็เลย สาดดด แม่งเพราะเจลแน่ๆ

เลยกดหาช้อมูลเรื่องการ Activate ดู ปรากฏว่า ไม่ใช่มีปัญหาเฉพาะเรา หรือเฉพาะเครื่องเจล เครื่องทั่วไปก็มีปัญหา หลักๆ ที่บ่นๆ กันคือ มันมีปัญหาที่ซิม (ผู้ให้บริการมือถือ) ที่อาจไม่ตรงกับตัวเครื่อง (คือ เครื่องนี้ไม่ได้ขายผ่านผู้ให้บริการรายนี้) ก็เลย iOS แม่งมีปัญหาหยุมหยิมจังวะ สุดท้ายก็ยังไม่รู้ว่า ไอ้ที่ Activate ไม่ได้มันเป็นเพราะเครื่องเจล หรือเพราะเครือข่าย

ก็เลยได้บทเรียนสองข้อสำคัญของชีวิตว่า 1) อย่าซื้ออุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์ที่มาบุญครอง 2) iOS ไม่เหมาะกับผม

One does not simply Try iOS and buy gadget from MBK without annoying

14/6/55

Selling overpriced


เมื่อวานไปธุระที่วัด ลูกสาวร้องกินไอติม ผมก็เดินไปซื้อ ไอติมรถเข็นขายไอติมแบบเดียวกับที่มีขายในเซเว่น (ที่ห่างไป 200 เมตร) แท่งละ 15 บาท แต่รถขายไอติมในวัดขายผมที่ 20 บาท ผมรู้สึกฉุนพอสมควรที่ถูกเอาเปรียบ สักพักผมเริ่มคิดได้ว่า เขามีต้นทุนชีวิตอยู่ และการค้ากำไรเกินควร มันก็ยังดีกว่าขอทานที่แบมือขอเงินเฉยๆ โดยไม่ทำอะไร

หลังจากนั้น ผมก็ซื้อไอติมโคนอีกอันให้ลูกชายในราคา 20 บาท โดยรถเข็นคิดราคาผมที่ 25 บาท ได้อย่างมีความสุข

13/6/55

How many I pay for Ensogo deal

มันเริ่มจากวันนึง ที่ผมสงสัยว่า เอ... นี่เราหมดเงินกับ Ensogo ไปเท่าไหร่แล้ววะ ผมไม่รอช้าที่จะเข้าไปที่หน้าคูปองของ Ensogo เพื่อดูว่า นี่เราเคยซื้ออะไรไปเท่าไหร่แล้วมั่งเนี่ย ก็ได้ข้อมูลออกมาดังนี้

ดีลแรกผมซื้อเมื่อ 18/5/2011 และนี่คือรายการดีลทั้งหมดที่ผมเคยซื้อ
แทบจะทั้งหมดเป็นของกิน บ้าไปแล้ว แต่ถ้าไม่ของกินก็ไม่มีอะไรให้ซื้ออ่ะ

รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 6721 บาท ในระยะเวลาประมาณ 1 ปีพอดี เฉลี่ยอยู่ที่เดือนละประมาณ 500 กว่าบาท สำหรับค่าสันทนาการครอบครัว โดยส่วนตัวแล้ว ถือว่าโอเค

ปล. ลืมไปว่ามี Groupon ที่ซื้อตอนไปมาเลด้วย น่าจะประมาณ 200 บาท ได้

28/5/55

My gadget


มันเริ่มจากวันหนึ่งที่ผมสงสัยว่า เอ... เราเคยใช้มือถือรุ่นไหนมาแล้วบ้างนะ ก็เลยพยายามนั่งคิดๆ อยู่ ได้ออกมาตามนี้

  • เริ่มสมัยเรียน ปวส. pager samart ตัวแรกเหยียบแตกไป ตัวที่ 2 ซื้อแบบเดิม ตัวละ 2,000
  • PCT ยี่ห้อ Aiwa รุ่น PT-h66 สีฟ้า สวยเลย จำได้ว่า 5,000 บาท
  • Ericson จำรุ่นไม่ได้ ซื้อเพราะถูก น่าจะ 1,900 มั๊ง
  • ipaq 9500 ซื้อตอนเรียนโท 20,000 บาท
  • palm w ประมาณ 9000 บาท
  • trio 600 ประมาณ 12,000 บาท
  • o2 รุ่นแรก ซื้อมือ 2 มา 8,000 บาท
  • ipaq 8500 ซื้อมือ 2 มาเล่น Blender for PPC 2,000 บาท
  • sony w800 ซื้อมาเพราะมันถ่ายรูปละเอียด 15,000 บาท
  • LG p500 เป็น Android ตัวแรกๆ ที่ทำราคานี้ ไม่งั้นก็ไม่ได้ซื้อสักที 9,990 บาท

สรุป ผมหมดตังค์ไปกับอุปกรณ์พวกนี้ ประมาณ 86,890 บาท ในระยะเวลา เกือบๆ 15 ปี ผมคิดว่าคงไม่เยอะถ้าเทียบกับคนอื่นๆ แต่คำนวณดูแล้ว ผมว่ามันก็ยังเยอะเกินไปอยู่ดีในมุมของผม

ปล. จริงๆ ตัวเลขลดลงกว่านี้นิดหน่อย เพราะบางตัวก็ขายเป็นเงินขึ้นมาซื้อตัวใหม่บ้าง

27/5/55

A property should buy

ทรัพย์สินอะไรที่เราควรซื้อ? อย่างที่ผมชอบบ่นบ่อยๆ ว่าไม่อยากซื้อรถ แต่อยากซื้อบ้าน หรือที่ดินมากกว่า ในขณะที่หลายคนกลับเลือกที่จะซื้อรถก่อนเป็นสำคัญ คราวนี้เลยจะมาเทียบฟีเจอร์เลย เหมือนซื้ออุปกรณ์อิเลคทรอนิคเลย ว่าเราควรซื้อทรัพย์สินแบบไหนกันแน่

ความสามารถรถบ้านที่ดิน
มูลค่าเพิ่มขึ้นเมื่อถือครองมูลค่าลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ซื้อการขึ้นลงขึ้นกับทำเล ส่วนมากจะขึ้นการขึ้นลงขึ้นกับทำเล ส่วนมากจะขึ้น
ค่าบำรุงรักษาสูงต่ำไม่มี
ความเสี่ยงในการสูญเสียทรัพย์สินสูง หายได้ ชนได้ โดนขีดข่วนได้ต่ำ หายไม่ได้ ไฟไหม้ได้ แผ่นดินไหวได้ แต่อัตราการเกิดขึ้นต่ำสูญหายได้กรณีเดียวคือ โดนขโมยหน้าดินไปขาย
ความเสี่ยงในการเป็นต้นเหตุให้เกิดความเสียหายหรือสูญเสียทรัพย์ชนคนอื่น จ่ายเราแล้วยังต้องจ่ายเขาด้วยทำบ้านไฟไหม้ลามไปบ้านอื่น อัตราการเกิดขึ้นต่ำ-
แปลงกลับเป็นเงินได้ได้มูลค่าต่ำ ขึ้นกับอายุ ถ้าหลายปีนักก็ 0 บาทโดยมากมูลค่าจะสูงขึ้นโดยมากมูลค่าจะสูงขึ้น

อะไรที่คุณควรซื้อก็ขอให้พิจารณาเอา ลองกำจัดความอยากออกไปจากหัว แล้วคิดตามเหตุและผล เพื่อตัวคุณเอง

ผมหรือคือเสื้อแดง


หลายคนทัก หรือบ้างก็ยัดเยียว ว่าผมเป็นเสื้อแดง แต่คนที่เป็นเสื้อแดงก็หาว่าผมเป็นเสื้อเหลือง เอ้า ฮาาาาาาา โดยส่วนตัวแล้ว ถ้าคุยเรื่องการเมืองแล้วคนถามว่าผมเสื้อสีอะไร ผมจะตอบว่า ผมเสื้อสีผม คือ ผมมีสีเสื้อเป็นของตัวเอง

เสื้อแดงคืออะไร อันนี้ขึ้นกับใครจะนิยาม ส่วนเสื้อแดงในมุมของผม

  • เทิดทูนแกนนำ << อันนี้ผมไม่ใช่ ผมว่าระบบแกนนำเป็นอะไรที่ติงต๊อง เรื่องของการยึดถือแกนนำที่เด็ดขาดที่สุดคือ เมื่อพระอานนท์ถามว่า เมื่อพระองค์สิ้นไปแล้ว ใครจักเป็นศาสดาของพวกเรา พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า ให้พระธรรม(คำสอน)นั้น เป็นศาสดาของพวกเธอ อันนี้สุดยอดมาก คือ ไม่ต้องมีศาสดาหรือแกนนำต่อไป คำสอนถูกสุด ไม่กลับกลอกวกวนสับขาหลอกเมือนแกนนำ วันก่อนไปแย้วๆ แถวสี่เสา วันนี้เกิดจะไปรดน้ำขึ้นมาอีก อย่างที่บอก ผมว่าระบบแกนนำเป็นอะไรที่ติงต๊อง จริงๆ แล้วก็ขึ้นกับคนที่เป็นแกนนำด้วยแหล่ะ
  • ต่อต้านอำมาตย์ << อันนี้ผมเห็นด้วยเต็มๆ การถ่ายทอดอำนาจ หรือมอบอำนาจแก่คนสนิทถือเป็นเรื่องอันไม่สมควร หรือถ้าจะถ่ายทอดอำนาจกัน ก็ไม่ควรยาวเกินไป หรือให้ถูกคือ ต้องอิงความสามารถด้วย อันนี้ถ้าเราจำกันได้ คำว่าระบอบทักษิณนี่แหล่ะ คือตัวอำมาตย์เลย สมัยทักกี้เป็นนายก ถ้าจำได้ ญาติก็มาเป็น ผบ.ทบ. เพื่อนสนิทมิตรสหาย ได้ตำแหน่งนู้นนี่ไปตามๆ กัน แล้วมันอำมาตย์ไม๊ล่ะท่าน แต่ถ้าความสามารถได้ด้วยอันนี้ก็ไม่ว่ากัน
  • ต้องแก้ 112 << อันนี้เหมือนเสื้อแดงจะแตกเป็น 2 สาย หรือเปล่า ? ส่วนตัวแล้วเห็นควรที่จะแก้ ไม่ใช่ไม่ควรมี แล้วก็เรื่องนี้ไม่ต้องมาถกกับผมนะ
  • ชุมนุมเพื่อเรียกร้องอะไรบางอย่าง << เห็นด้วยเรื่องการชุมนุมเพื่อเรียกร้อง หากมีสิ่งไม่เป็นธรรมเกิดขึ้น และไม่สามารถแก้ไขด้วยกระบวนการปกติได้ แต่ผมไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมเพื่อแก้ไขปัญหาให้ตัวเอง แต่การชุมนุมนั้นดันเป็นการสร้างปัญหาให้ผู้อื่น
  • เรียกร้องประชาธิปไตย << ไม่ค่อยมีเซนส์เรื่องรูปแบบการปกครองสักเท่าไหร่ ส่วนตัวยังไม่ชอบการเลือกตั้งพรรค หรือบุคคล อยากได้การเลือกตั้งแบบเลือกตั้งนโยบาย คือ มีระบบระดมสมอง แล้วคนก็มากาว่าปีนี้จะทำอะไร แล้วพอได้เรื่องว่าจะทำอะไรแล้ว ค่อยมาเลือกตั้งคน ว่าคนไหนเหมาะจะทำอะไร สรุปคือ ผมไม่เรียกร้องประชาธิปไตย แต่ผมต่อต้านเผด็จการ

อื่นๆ นึกไม่ออกแล้ว แล้วก็ผมชอบเสื้อสีแดงนะ หลักฐาน ผมเลือกจะใส่เสื้อสีแดงเพื่อไปถ่ายรูปในตอนที่ Shuttleworth มากรุงเทพ ซึ่งนั่นมันก่อนที่จะมีแก๊งเสื้อแดงเสียอีก แล้วพอมีเสื้อแดง ก็เลยทำให้ผมไม่สามารถให้เสื้อแดงได้อีก เซ็ง :P

Because we are different


หลายปีก่อนนี้ผมทะเลาะกับแฟนบ่อยมาก ครอบครัวแทบล่ม เหตุเพราะเราช่างต่างกันมาก เราคิดไม่เหมือนกัน เราเห็นไม่เหมือนกัน เราพูดไม่เหมือนกัน ไม่ว่าผมจะพยายามอธิบายเท่าไร เธอก็ไม่เข้าใจว่าผมคิดอะไร เหตุผลของผมคืออะไร หลายๆ ครั้งผมพยายามทำความเข้าใจเธอ ผมก็ไม่อาจเข้าใจได้ ว่าทำไมเธอถึงคิดแบบนั้น เธอถึงทำแบบนั้น

ช่วงหลังมานี้เราทะเลาะกันน้อยลง แต่ผมก็ยังคงไม่เข้าใจเธออยู่ดี และเธอก็ไม่ค่อยเข้าใจผมเหมือนเดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ ผมเลิกพยายามให้เธอเขาใจผม และผมเลิกที่จะพยายามเข้าใจเธอ สิ่งที่ผมเข้าใจคือ เราแตกต่างกัน เราคิดไม่เหมือนกัน เราพูดไม่เหมือน และผมเลิกที่จะพยายามขัดขืนในความแตกต่าง เพราะเราก็แค่แตกต่าง และเราก็แค่อยู่ด้วยกันอย่างแตกต่าง อะไรที่มันแย้งกัน ถ้าปล่อยผ่านไปได้ ก็แค่ปล่อยให้มันผ่านๆ ไป

23/5/55

Why you love her more than me


ทำไมถึงรักเขามากกว่า เป็นคำถามที่แฟนผมถามบ่อยมาก ทำไมผมถึงทุ่มเทให้ผู้หญิงคนนั้นมากกว่า

ตอบแบบผู้ชายเข้าใจแน่ๆ
เพราะฉันต้องการอะไรบางอย่างจากผู้หญิงคนนั้น ฉันจึงทุ่มเททุกอย่างเพื่อให้ได้มา แต่ฉันต้องการอยู่กับเธอไปจนตาย ฉันจึงไม่สามารถทุ่มเททุกอย่างลงไปได้ เพราะมันอาจทำให้ฉันไม่มีเหลือพอที่จะอยู่กับเธอไปจนถึงวันนั้น

ตอบแบบผู้หญิงเข้าใจ
ขอสามคำ "นึก ไม่ ออก"

Annoying 1

นานมาแล้ว ครั้งที่มีการเปิดใช้เบอร์ 09 ใหม่ๆ ผมโทรหาเพื่อน แต่เผลอกด 01 โดยความเคยชิน (เพราะแต่ก่อนมือถือต้อง 01 เท่านั้น) ผมโดนเจ้าของเบอร์ด่าอย่างเสียหาย

ผมจึงโพสขายสินค้าอิเลคทรอนิคราคาถูก โดยใส่เบอร์ 01 นั้นลงไป จนถึงวันนี้ผมก็ยังไม่รู้สึกว่าผมผิดเลย

คำถาม ผมเลวไม๊

19/5/55

Lost a facebook account

วันก่อนพยายาม Log in facebook จากเครื่องแปลกๆ FB เลยคิดว่าผมโดนแฮก (แอคเคานท์อื่นนะ คิดว่าคนอื่นก็คงมีมากกว่า 1 แหล่ะ) แล้ว Facebook ก็เลยให้ผมยืนยันตัวตนด้วยวิธีหนึ่ง คือ ให้ดูรูปที่มีเพื่อนอยู่ในนั้น แล้วให้ผมบอกว่า คนในรูปนั้นคือใคร

และนี่คือรูปที่มีเพื่อนๆ ผมอยู่


15/5/55

Why homosexual should allow to marry?


สืบเนื่องจาก Entry ก่อนหน้านะครับ แล้วก็ผมสนับสนุนการแต่งงานของคนรักร่วมเพศ จาก Entry ก่อน ได้ถกกับหลายคนถึงเหตุผลว่า ทำไมคนรักร่วมเพศถึงไม่ควรได้รับสิทธิ์ในการอนุญาตให้แต่งงานกัน ซึ่งผมก็ยังไม่ได้รับคำตอบที่เป็นวิทยาศาสตร์พอ :P

คราวนี้ ผมมาให้เหตุผลเพิ่มเติมว่า ทำไมรักร่วมเพศถึงควรได้รับสิทธิ์ในการแต่งงาน

พูดถึงในข้อบังคับของกฏหมายก่อน ไม่รู้ว่ามีกฏหมายข้อไหนที่ระบุว่าห้ามแต่งงานกับคนเพศเดียวกัน อันนี้ไม่ทราบจริงๆ

นิยามของกฏหมายนั้น กฏหมายคือข้อห้าม ไม่ใช่ข้ออนุญาต แปลว่า เราสามารถทำได้ทุกอย่าง ถ้าสิ่งใดไม่ดี จะมีกฏหมายออกมาห้ามเอง

กฏที่ถูกหมายขึ้นมานั้น เป็นข้อกำหนดที่ทำให้เราไม่ถูกละเมิดสิทธิ์ เช่น เราห้ามทำร้ายร่างกาย ก็จะไม่มีใครมาทำร้ายเราได้
หรือในบางครั้งกฏที่ถูกหมายขึ้นมานั้น ก็เป็นข้อกำหนดที่ทำให้เราอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข (แม้สิ่งนั้นจะไม่ละเมิดสิทธิ์ของใคร) เช่น เด็กต้องเรียนหนังสือ เราอาจบอกว่า มันเป็นสิทธิ์ของเด็ก ที่จะเลือกเรียนหรือไม่เรียน แต่เด็กที่ไม่เรียน ก็มีความเป็นไปได้สูงที่โตมาแล้วจะไม่มีงานทำ ซึ่งอาจมาสร้างความเดือดร้อนในภายหลังได้ ดังนั้นกฏหมายเลยบังคับให้เรียนหนังสือ

ทีนี้ สิ่งที่ผมอ้างบ่อยๆ คือ สิทธิ์ เราทุกคนควรมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน ถ้าไม่เท่ากัน มันต้องมีเหตุที่อธิบายได้ว่า ทำไม เช่น กรณีของการแต่งงาน ทำไมรักต่างเพศแต่งงานได้ แต่รักร่วมเพศแต่งงานไม่ได้ การถูกริดรอนสิทธิ์ในส่วนนี้เป็นเพราะอะไร

คราวนี้เอาแบบเป็นเหตุเป็นผลบ้าง

ทำไมเราถึงควรต้องแต่งงานกัน

  • กฏหมายจะคุ้มครองคู่สามีภรรยา หากมีผ่ายใดนอกใจ เราสามารถฟ้องร้องดำเนินคดีได้
  • คู่สามีภรรยา สามารถตัดสินใจแทนกันได้ในบางสภาวะ เช่น โดนรถชน ต้องผ่าตัดด่วน แต่อาจเสี่ยงถึงขั้นเสียชีวิตได้ อันนี้คู่ของเราสามารถตัดสินใจแทนได้
  • สินสมรส ทรัพย์สินที่ได้หลังการจดทะเบียน ถือเป็นของร่วมกัน

ผมเชื่อว่า ข่าวเรื่องคู่ขาโหดที่มีให้เห็นบ่อยๆ ก็คงมาจากเหตุที่เขาไม่สามารถเอาผิดในทางกฏหมายได้

จากตัวอย่าง 3 ข้อข้างบน เป็นเหตุผลในเชิงบวก ว่า การแต่งงานของกลุ่มรักร่วมเพศ จะช่วยให้สังคนดีขึ้น

ขอเหตุผลจากฝ่ายค้าน อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ด้วยครับ

14/5/55

Wallet NFC

แต่เดิมเคยเขียนเรื่อง Design อยู่เรื่อยๆ แต่เว้นไปนาน วันนี้ได้ไอเดียใหม่ เอามาลงสักหน่อย มันคือ Wallet NFC (ถ้า NFC Wallet จะกลายเป็นอีกอย่างไป)

มันคือ กระเป๋าตังค์ที่ฝังชิป NFC ไว้ โดยมันจะเชื่อมกับ Smartphone ตลอดเวลา เมื่อไหร่ที่มีของชิ้นไหนวางลืมไว้เป็นเหตุให้มันต้องพรากจากกัน (ขาดการเชื่อมต่อ) กระเป๋าตังค์ก็จะร้องเพื่อเตือนเรา

เจ๋งมะ (มีแล้วป่าวหว่า)

พร้อมกันนี้ ผมก็เลยส่งไปลง Quirky ซะเลย (ตั้ง 10$)  http://www.quirky.com/ideations/225104


How I fight with a girl :P


มีปัญหากับเพื่อนใน FB นิดหน่อย คือ มันเป็นปัญหาที่ติงต๊องแบบโคตรติงต๊อง

เรื่องคือ มีสาวคนนึง โพสข้อความเกี่ยวกับผมทรงใหม่ของเธอ และความช่างสงสัยของผมทำเธอโกรธ



อันนี้ถอดคำออกมาจากบทสนทนา

  • เจ้าของโพสภาพ พร้อมคำประกอบ: ทำเป็นกะเค้าซะที
  • ผม: เอ่อ มันทำยากเหรอคับ เห็นแล้วนึกว่าทำมั่วๆ
  • เจ้าของภาพ: ยากถ้าทำไม่เป็น เพราะมันต้องเกล้า ให้เป็นทรง ไม่ได้จับม้วนๆดูจากรูปสิคะ มันมั่วยังไง?
  • ผม: มันชี้โด่ชี้เด่อ่ะคับ
  • เจ้าของภาพ: อ้าวก็มันเป็นทรงของเค้าแบบนั้น ผมคนเรา มันยาวเท่ากันทุกเส้นเหรอคะ จะไม่ให้ชี้ออกมาสักเส้น มันก็ต้องออกแนวแบบนี้แหล่ะค่ะ พี่เป็นอะไรมากหรือเปล่า กับทรงนี้ค่ะ
คร่าวๆ ประมาณนี้ ผมจะเข้าไปอธิบายต่อ แต่เม้นไม่ได้แล้ว คุณเจ้าของภาพลบผมทิ้งจากความเป็นเพื่อนไปแล้ว ซึ่งก็ไม่ได้วอรี่อะไร เพราะก็ไม่ได้เป็นเพื่อนในโลกจริง แล้วก็ใน FB ก็แทบไม่ค่อยได้คุยอยู่แล้ว

คราวนี้ มาถอดความจากสิ่งที่เกิดขึ้นบ้าง

ในมุมของผมก่อน

  • เจ้าของโพสภาพ พร้อมคำประกอบ: ทำเป็นกะเค้าซะที << สงสัย ยากเหรอ จริงอ่ะ อยู่บ้านเราก็มัดผมเองบ่อยๆ มันก็แค่ม้วนๆ
  • ผม: เอ่อ มันทำยากเหรอคับ เห็นแล้วนึกว่าทำมั่วๆ << ก็เลยถามไปตรงๆ
  • เจ้าของภาพ: ยากถ้าทำไม่เป็น เพราะมันต้องเกล้า ให้เป็นทรง ไม่ได้จับม้วนๆดูจากรูปสิคะ มันมั่วยังไง? << เจ้าของภาพอธิบายอะไรบางอย่าง พร้อมถามผมกลับว่า มันมั่วยังไง?
  • ผม: มันชี้โด่ชี้เด่อ่ะคับ << ผมตอบกลับว่า ผมเห็นมันมั่วๆ เพราะมันชี้โด่ชี้เด่ คือ ให้เหตุผลของคำตอบที่ว่า ทำไมผมถึงบอกว่ามันมั่ว ไม่ได้บอกว่าไม่สวยนะครับ ผมทรงสิงโตของลี้โอพุฒที่มั่วๆ แต่ก่อนผมก็ว่ามันสวยดี แต่มันไม่น่าจะเป็นอะไรที่ทำยาก อารมณ์เดียวกัน
  • เจ้าของภาพ: อ้าวก็มันเป็นทรงของเค้าแบบนั้น ผมคนเรา มันยาวเท่ากันทุกเส้นเหรอคะ จะไม่ให้ชี้ออกมาสักเส้น มันก็ต้องออกแนวแบบนี้แหล่ะค่ะ พี่เป็นอะไรมากหรือเปล่า กับทรงนี้ค่ะ << กูทำไรผิดวะเนี่ย
คราวนี้ ผม Simulate เป็นเจ้าของภาพบ้างนะครับ (ถูกหรือผิดไม่รู้ เดาๆ เอา)
  • เจ้าของโพสภาพ พร้อมคำประกอบ: ทำเป็นกะเค้าซะที << เดี๋ยวต้องมีคนมาชมแน่ๆ เลย
  • ผม: เอ่อ มันทำยากเหรอคับ เห็นแล้วนึกว่าทำมั่วๆ << ไอ้เวรนี่ เหี้ยไรของมึงเนี่ย เสียฤกษ์หมด
  • เจ้าของภาพ: ยากถ้าทำไม่เป็น เพราะมันต้องเกล้า ให้เป็นทรง ไม่ได้จับม้วนๆดูจากรูปสิคะ มันมั่วยังไง? << กูให้โอกาสมึงแก้ตัว
  • ผม: มันชี้โด่ชี้เด่อ่ะคับ << ไอ้สัด ตกลงมึงจะเอาใช้ไม๊ ได้กูจัดให้
  • เจ้าของภาพ: อ้าวก็มันเป็นทรงของเค้าแบบนั้น ผมคนเรา มันยาวเท่ากันทุกเส้นเหรอคะ จะไม่ให้ชี้ออกมาสักเส้น มันก็ต้องออกแนวแบบนี้แหล่ะค่ะ พี่เป็นอะไรมากหรือเปล่า กับทรงนี้ค่ะ << เดือด
คือ มันคงประมาณนี้มั๊ง ผมอาจจะผิดที่ไม่แคร์ความรู้สึกของผู้ ญ แต่เผอิญว่า คนนี้เป็นเพื่อนในโซเชียล ซึ่งจะว่ากันตามจริงก็คือคนแปลกหน้าแหล่ะ แต่ผมเองก็อาจจะมารยาทไม่ดีที่ถามอะไรโดยไม่คิด แต่ก็ไม่ใช่ความผิดผมอยู่ดี เพราะทุกคำถามและคำตอบ ผมสื่อสารอย่างสุภาพทั้งหมด

สรุป ผมก็ยังว่ามันเป็นเรื่องติงต๊องอยู่ดี :P
สรุป2 ที่คนเป็นแฟนกันทะเลาะกัน ผมว่าหลายๆ ครั้งมาจากเรื่องของการสื่อสารแบบนี้แหล่ะ
สรุป3 ติงต๊อง

9/5/55

Should homosexual allow to marry?


วันก่อนถกกะอนุโชะเรื่อง กลุ่มรักร่วมเพศควรจะแต่งงานกันได้หรือไม่ โดยส่วนตัว คำตอบของผมคือ ควรจะได้ เพราะไม่รู้ว่าทำไมถึงจะต้องตอบว่า ไม่ได้

คำตอบของควรส่วนใหญ่ที่ต่อต้านการแต่งงานของคนรักร่วมเพศคือ มันผิดธรรมชาติ ซึ่งมันเป็นเหตุผลที่โคตรบักง่าว คือ มันช่างเป็นเหตุผลที่สองมาตรฐานโคตรๆ

  • อาหารควรจะบูด เราสร้างยากันบูด
  • เนื้อควรจะเน่า เราสร้างตู้เย็น
  • คนไม่มีปีก เรานั่งเครื่องบิน
  • แตงโมควรจะมีเม็ด เราทำแตงโมไร้เม็ด

กับอีกหลายเหตุผลที่เราทำในสิ่งที่ผิดธรรมชาติ และเรายอมรับได้ และหลายๆ ครั้งก็ชอบด้วย แต่พอคนเพศเดียวกันจะแต่งงานกัน เรากลับบอกว่า ไม่ได้ มันผิดธรรมชาติ

สังเกตุว่า เรื่องของรักร่วมเพศที่เราจะต่อต้านนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นเฉพาะเรื่องของ ชายรักชาย แต่เลสเบี้ยนเราไม่ค่อยต่อต้านเท่าไหร่ เหตุเพราะ คู่เกย์มันช่างชวนแหว่ะ น่าขยะแขยง และอื่นๆ อีกมากมาย แต่โดยความรังเกียจส่วนตัวแล้วเราจะไปบอกว่าเขาผิดมันคงไม่ใช่

สรุปว่า สนับสนุนการแต่งงานของคนเพศเดียวกันเต็มที่ แต่สิ่งที่ต่อต้านคือ การเปลี่ยนเพศโดยเป็นไปในลักษณะหลอกลวง คือ เป็นเพศหนึ่ง แต่จงใจหลอกว่าเป็นอีกเพศหนึ่ง แต่ถ้ามันดูไม่ออกโดยไม่หลอกลวงก็อีกเรื่องนะ คือ ไม่ควรมีใครหลอกแต่งงานกับใครได้โดยอาศัยความเข้าใจผิดทางเพศ

5/5/55

Training a computer for kid

พอดีว่ามีเด็กมาให้สอนคอมที่้บ้าน (พี่ของเด็กนักเรียนที่แฟนเคยสอนหนังสือ) ก็ประมาณวัยรุ่นล่ะ ปวช. แล้ว ยังจับทางไม่ค่อยได้ว่าควรจะสอนอะไร เพราะต้องรอดูพื้นฐานของน้องก่อน ตอนแรกก็เลยเริ่มต้นที่การใช้คอมพิวเตอร์พื้นฐานก่อน

หลักๆ ของพื้นฐานคอมพิวเตอร์ที่จะพยายามสอนก็

  • การใช้ Google search อย่างถูกวิธี คือ เลือกใช้คีย์เวิร์ดในการค้นหาสิ่งที่ต้องการได้
  • การพิมพ์เอกสารอย่างถูกวิธี (เดี๋ยวจะให้เด็กเอาการบ้านที่เคยส่งครูมาจัดหน้าใหม่)
  • การใช้บริการต่างๆ ของ Google เช่น Doc, Calendar
  • บังคับเขียน Blog สำคัญมาก มันไม่ได้สำคัญที่ Blog แต่สำคัญที่ การฝึกนิสัยการจดบันทึก

คิดว่าอันนี้เป็นพื้นฐานที่เด็กควรรู้ เดี๋ยวสอนได้ครบตามนี้แล้วค่อยลงเนื้อหาโปรแกรมอื่นๆ ตามที่เด็กควรรู้ต่อไป

18/4/55

Computer 101


วิชาคอมพิวเตอร์เบื้องต้นควรจะสอนอะไร ผมเองก็เลยวัยเรียนหนังสือมานานแล้ว จำได้เลาๆ ว่า สอน Windows, MS Word, Dos ประมาณนี้ พอดีว่าช่วงนี้มีเด็กมาฝึกงาน แล้วเจออะไรแปลกๆ บางอย่าง ทำให้รู้สึกว่า มีอะไรบางอย่างที่วิชาคอมพิวเตอร์พื้นฐานควรต้องสอน


  • การตั้งชื่อไฟล์ ให้น้องฝึกงานเขียนบทความให้ น้องตั้งชื่อไฟล์เป็นชื่อตัวเอง แถมเป็นภาษาไทยด้วย (ลูกชายผม ป.4 ก็ตั้งชื่อไฟล์แบบนี้ แต่น้องฝึกงานนี่เด็ก ป.ตรี ปี3)
  • การจัดระเบียบไฟล์ในเครื่อง สอดคล้องกับข้อที่แล้ว
  • การใช้ Word processor อย่างถูกต้อง ไม่ใช่ใช้เป็นพิมพ์ดีดไฟฟ้า ผมเจอ อ. มหาลัยดังๆ ใช้ Word processor เป็นพิมพ์ดีดไฟฟ้า คือ หัวข้อตั้งตัวหนาเอาเอง ลิสต์ก็ใส่เลข หรือใส่ขีดนำหน้าเอง
  • การส่งอีเมล คือ ตั้งชื่อหัวข้อให้รู้เรื่อง การพิมพ์ข้อความเรียงลำดับ สามารถสื่อสารให้เข้าใจได้
  • การตั้งกระทู้ถาม และการตอบกระทู้ สอดคล้องกับข้อที่แล้ว คือ สามารถสื่อสารให้เข้าใจได้
  • สามารถระบุ Tag ให้เนื้อหาได้
  • ค้นหาสิ่งที่ต้องการจาก Search engine ได้
  • ศึกษาการใช้โปรแกรมต่างๆ ด้วยตนเองในขั้นต้นได้ จากการอ่านเอกสารคู่มือ


คงประมาณนี้

10/4/55

Temporary account for android

ตะกี๊มีเครื่อง Tablet นักเรียน (ยังไม่ตัวจริง) มาให้ปรับแต่งให้ ซึ่งเปิดมามันก็เป็นเครื่องที่ลงโปรแกรมไว้บางส่วนแล้ว แต่ต้องลงเพิ่ม ผมก็เลยเปิด Android Market (ในเครื่องยังไม่เป็น Google play) มันบังคับให้ใส่ Google account ผมก็เลยใส่ Account ตัวเองลงไป โดยกะว่าลงเสร็จก็จะถอด account ออก

ปรากฏว่า พอจะถอด Account ออก มันไม่ยอมให้ถอด ก็ลองใส่ Account อื่นลงไป แต่ปรากฏว่า มี Account อื่นแล้ว มันก็ไม่ยอมให้ถอด Account แรก โคตรหงุดหงิด ปัญหาติงต๊อง ลองลบ Data ในทุกโปรแกรมแล้วมันก็ยังไม่ยอมให้ถอด Account ออก มันบอกว่าวิธีเดียวที่จะทำได้คือต้อง Factory reset ผมก็ - -" ต่อให้เรื่องถึงครูอังคณาก็คงทำอะไรไม่ได้

เสริชดูได้มา 3วิธี http://www.dxdo.com/remove-google-account-from-android-phone-no-factory-reset/

คือ 
  1. เปลี่ยนพาสซะ แล้ว Reset tablet
  2. เข้าไปลบที่หน้าเซ็ตติ้ง (ที่ลองแล้วไม่ได้)
  3. เข้าไปที่ Settings > Manage Applications เลือก Google Apps แล้วกด  Clear data จากนั้นระบบจะเตือนว่า Your account must be updated แล้วให้ใส่ Account ใหม่ลงไปแล้ว reboot เครื่อง แต่หาแล้ว เครื่องนี้ไม่มีโปรแกรม Google Apps
ก็เลยทำไรไม่ได้ ผมเลยต้องจำใจเปลี่ยนพาสเวิร์ด Google account ของผม เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวไว้ ที่สำคัญ มันเปลี่ยนกลับไปใช้พาสเวิร์ดเดิมไม่ได้ด้วย Google ไม่ยอม

เซ็งเลย

7/4/55

Motor show 2012


ไปมอเตอร์โชว์มาละ ซึ่งปกติงานมอเตอร์โชว์เป็นอะไรที่ผมไม่ไปอยู่แล้ว เพราะไม่ชอบคนเยอะ แล้วก็ไม่ได้สนใจเรื่องรถ แต่คราวนี้ไปเพราะตั้งใจว่าจะไปจองรถ จริงๆ เล็งมานานแล้ว เพราะแฟนอยากได้ แต่ผมไม่อยากจ่าย มันเลยเลื่อนไปเรื่อยๆ แต่ครั้งนี้ต้องจองจริง เพราะเราต้องการโปรรถคันแรก 1 แสนบาท

งานมอเตอร์โชว์คนค่อนข้างโล่งดี คือ จริงๆ วางแผนไว้แล้วว่าจะไปวันนี้ (ศุกร์ 6 เม.ย.) เพราะเป็น 4 วันหยุดยาว แถมถ้าคนไหนไม่ได้หยุด ก็แปลว่ายังอยู่ที่ทำงาน มางานมอเตอร์โชว์ไม่ได้ วันนี้เลยโล่งเดินสบายๆ ซึ่งเป็นไปตามที่คิดไว้ บูตที่คนแน่นเลยจะมี Toyota, Nissan, Honda นอกนั้นหลวมๆ ไปจนถึงบางตา

ผมจองไปสองคัน ของแม่คันนึง ของตัวเองคันนึง เนื่องจากได้สิทธิ์รถคันแรกของผม และของแฟน ก็ใช้สิทธิ์ทั้งคู่ เรื่องไรจะพลาด

ที่จองไปก็มี


  • Vios ใช้สิทธิ์ผม แล้วก็ได้สิทธิ์บ้านน้ำท่วม ดอกเหลือ 1.55% (ใช้สิทธิ์คันนี้เพราะราคาแพงกว่าอีกคัน บ้านหลังมีชื่อแฟนในทะเบียนบ้านมันไม่ท่วม ไม่มีสิทธิ์ใช้ดอกต่ำ)
  • Almera ใช้สิทธิ์แฟน
  • ของ Vios เลือกดาวน์ 25% แต่จริงๆ แล้ว เมื่อดอกเหลือถูกกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก เราควรผ่อนให้นานที่สุด เพื่อเก็บเงินสดไว้ให้ได้ดอกจากธนาคาร จะมีประโยชน์กว่า แต่แฟนอยากให้จบเร็วๆ ซึ่งก็ไม่ว่ากัน เพราะผมก็อยากให้หมดเร็วๆ เหมือนกัน


โดยส่วนตัวยังไม่อยากจอง เพราะยังไม่พร้อม แต่ช่วยไม่ได้เราต้องการโปรแสนนึง แล้วก็ ถึงยังไงมันก็ต้องออกรถอยู่ดี ก็เลยต้องจัด

รถน่าจะได้ในสักสองเดือน ไว้ได้แล้วจะเอามาอวด

เป็นหนี้แล้ว ล้านกว่าบาท สบายใจ เกิดมาไม่เคยเป็นหนี้เยอะขนาดนี้มาก่อนเลย (ของแม่แม่จ่ายเอง ของใครของมัน) ถึงเวลาจะมีปัญญาจ่ายรึเปล่าก็ไม่รู้ มีเงินสำรองก้นกระเป๋าอยู่เกือบๆ แสนได้ (ถ้าหักค่าดาวน์ไปแล้ว) ดังนั้นค่อนข้างเสี่ยงมาก ซึ่งไม่ใช่วิธีตัดสินใจในสภาวะปกติของผมเลย แต่ด้วยโปรโมชั่นค้ำคอ ช่วยไม่ได้ - -"

30/3/55

Why men lie


ทำไมผู้ชายถึงชอบโกหก นี่เป็นคำถามที่เราจะได้ยินจากผู้หญิงบ่อยมาก ไม่ว่าจะที่เขามาพูดกับเรา หรือจากบทสนทนาในกลุ่มผู้หญิงเอง

คำตอบนี้เป็นอะไรที่ผู้ชายรู้กันอยู่แล้ว เพราะมันมีสาเหตุเดียวกันหมด และมันดันเป็นเรื่องแย่ที่ผู้หญิงดันไม่เข้าใจ หรือไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยตัวเอง หรือที่แย่กว่านั้นคือ อธิบายแล้วก็ยังเสือกไม่ยอมจะเข้าใจ

สาเหตุของ "ทำไมผู้ชายถึงชอบโกหก" มีต้นเหตุมาจากสิ่งเดียวกับหลายๆ อย่างที่ผู้หญิงไม่เข้าใจ คือ เวลาจะตัดสินใจทำอะไรผู้ชายจะเผลอคิดถึงผลได้ผลเสียเสมอ ไม่ว่าจะอยากหรือไม่ เพราะเขาเป็นอย่างนั้นเอง

หมายเหตุ คำว่า โกหก ในนิยามของผู้หญิงจะหมายรวมถึงการไม่บอกสิ่งที่เกิดขึ้นด้วย ซึ่งโกหกของผู้ชายจะหมายถึง การพูดเพื่อบิดเบือนความจริงเท่านั้น และความจริงของผู้หญิงคือ ความจริงที่เธอเลือกที่จะเชื่อ ไม่ใช่ความจริงที่ปรากฏขึ้นจริง (วอนดราม่าอีกแล้วไม๊กู)

กลับมาที่ "ทำไมผู้ชายถึงชอบโกหก" ต้นเหตุของการที่ผู้ชายจะต้องโกหกเป็นเพราะ เขารู้สึกไม่ปลอดภัยที่จะพูดความจริง

ตัวอย่างสถานะการ "วันหนึ่งคุณผู้ชายไปห้าง แล้วบังเอิญไปเจอแฟนเก่า ก็ทักทายถามไถ่ กันประมาณ 3 นาที แล้วก็แยกย้ายไป ไม่มีไรเกิดขึ้น" ยกตัวอย่างที่เกิดขึ้น

- คุณผู้หญิงถามว่า วันนี้เป็นไงบ้าง ในสมองของผู้ชายจะเริ่มวิเคราะห์ว่า ถ้ากูบอกไปตามจริงจะเกิดอะไรบ้าง ซึ่งคำตอบที่ออกมา จะแปรผันตามประสบการณ์ เช่น ถ้าวิเคราะห์แล้ว ว่าตอบไปตามจริงก็ไม่มีอะไร แฟนไม่ด่า เข้าใจ ยอมรับ เฉยๆ (ต้องแยกระหว่างเฉยๆ กับอดกลั้นด้วย คือ ถ้าผู้หญิงไม่ด่า แต่เก็บไว้ในใจประมาณว่าแค้น ผู้ชายก็จะไม่ตอบ)

ซึ่งหลังจากวิเคราะห์แล้ว คำตอบจะออกมาตามผล เช่น ถ้าตอบกูตาย หรืออาจตาย ผู้ชายจะเลือกที่จะเลี่ยงตอบความจริง เพราะผลที่ได้คือไม่โดนด่า ถ้าอธิบายเป็นค่าตัวเลขจะประมาณนี้

- ตอบแบบเลี่ยง ค่าความซวย = 0
- ตอบตามจริง ค่าความซวย = 50 - 100
- จับได้ทีหลัง ค่าความซวย = 100

ดังนั้นถ้าไม่แน่ใจในค่าความซวย ผู้ชายจะตอบข้อแรก เพื่อให้ได้ค่าความซวยเป็น 0 แล้วพยายามเก็บความลับไว้ เพื่อไม่ให้ค่าความซวยกลายเป็น 100

จะเห็นได้ว่า ตรรกมันตรงไปตรงมา ถูกต้อง และเป็นวิทยาศาสตร์

การที่ผู้ชายจะชอบโกหกหรือไม่นั้น คุณต้องเชื่อก่อนว่า ไม่มีใครที่ชอบโกหกโดยสันดาน แต่การโกหก จะมาจากการปรับตัวเพื่อความอยู่รอด ซึ่งเป็นสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิต ดังนั้นถ้าคุณไม่อยากให้คุณผู้ชายโกหก คุณต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่จำเลยจะรู้สึกปลอดภัยจากการพูดความจริง (คือ ปราศจากการลงโทษ เคลือบแคลงสงสัย ไม่ไว้วางใจ) และความจริงที่เขาพูดจะไม่กลับมาเล่นงานเขาได้ในภายหลัง ถ้าคุณสร้างสภาพแวดล้อมอย่างนี้ได้ คุณจะไม่เห็นผู้ชายโกหกอีกเลย

อีกอย่างการที่ผู้ชายโกหกไม่ใช่เพราะเขาไม่รักคุณ แต่เพราะเขารักคุณต่างหากเขาจึงโกหก เพราะเขาไม่อยากให้คุณทุกข์ ไม่อยากให้คุณด่าเขา และอยากอยู่ร่วมกับคุณอย่างมีความสุข เขาจึงต้องการให้ค่าความซวยเป็น 0 ซึ่งอันนี้เป็นเหตุผลเดียวกับที่ผู้หญิงจะชอบบอกว่า ที่จับผิดหรือระแวงไม่ใช่เพราะไม่รัก แต่เป็นเพราะรักต่างหากจึงต้องจับผิด

ปล. รักคือเข้าใจ ไว้ใจ ให้อภัย มีครบ 3 อย่างได้จะเป็นสุข
ปล2. เรื่องโกหกนี่ไม่ใช่เฉพาะกับแฟนนะ อันนี้เหมารวม ชายกับหญิง ในทุกความสัมพันธ์เลย เช่น ลูกชายไม่กล้าบอกแม่ว่าโดนเพื่อนแกล้ง เพราะกลัวแม่ไปโวยวายที่โรงเรียน เป็นต้น

เสียงของการันต์


เคยถกกับเพื่อนอยู่ พอสมควรว่า ตัวอักษรที่มี "การันต์" กำกับอยู่นั้นมันมีเสียงไม๊ โดยความเชื่อส่วนตัว ผมเชื่อว่ามันมี เพราะประสบการณ์จากการใช้งาน ส่วนคนที่เชื่อว่าไม่มีเสียง น่าจะเพราะถูกอาจารย์ฝังหัวไว้แบบนั้น ซึ่งจริงๆ ผมก็ถูกอาจารย์ฝังหัวไว้แหล่ะ แต่ประสบการณ์มันสอนว่าไม่ใช่

ทดสอบด้วยการอ่านคำเหล่านี้

ไฟ, ไฟล์, ไฟน์, ไฟท์

จะพบว่า คุณออกเสียงไม่เหมือนกัน แต่ก็เป็นไปได้ว่า อาจเกิดจากการผิดเพี้ยนเพราะเราพยายามเชื่อมโยงคำกับภาษาอังกฤษ (หรือเปล่า)

พยายามจะหาคำไทย ที่เขียนเหมือนกัน แต่ลงด้วยการันต์ที่ต่างกันเพื่อเปรียบเทียบแต่นึกไม่ออก

19/3/55

Daily lives of high school boys

วันก่อนไปบ้าน @manatsawin โดนยัดเยียดให้ดูการ์ตูนเรื่อง Daily lives of high school boys หรือชื่อญี่ปุ่นว่า  Danshi Koukousei no Nichijou

เป็นการ์ตูนร่วมสร้างของผู้สร้าง Sunrise ผู้สร้างกันดั้ม และ Square Enix ที่ทำ Final fantasy เนื้อเรื่องเป็นเรื่องของชีวิตประจำวันของเด็ก ม.ปลาย (ก็ตามชื่อเรื่องแหล่ะ) แล้วมันก็บ้าๆ ดี การ์ตูนออกขำๆ สไตล์ กินทามะ เนื้อเรื่องไม่ต่อเนื่องกัน (ถือเป็นจุดเด่นสำหรับการ์ตูนสไตล์นี้เลย) อยากดูตอนไหนก็ดู

ตัวอย่าง


ถ้าเสพติดแล้วก็ตามไปดูที่วิดีโอของ WongsakornOHM

Back to facebook


เพื่อนค่อยๆ หายกันไปทีละคนสองคน ลาก่อน ไว้เปิด Post API แล้่วค่อยมาว่ากันใหม่

5/3/55

Economy trip how to


หลังจากพยายามเที่ยวแบบประหยัดมาได้สักระยะ เลยเริ่มเห็นกระบวนการการสร้างทริปประหยัดของตัวเอง ก็จดไว้สักหน่อยเผื่อครั้งต่อๆ ไปได้เอาเป็นแนวทาง

ขั้นตอนจะตามนี้

จับตั๋วราคาถูกให้ได้ก่อน อันนี้สำคัญ
  • เล็งวันที่ว่างสำหรับปีนั้นๆ และเผื่อไปอีก 1 ปีไว้ ผมจะทำเป็น Spread sheet เตรียมไว้เลย เขียนเผื่อไว้ 1 ปี เพราะโปรโมชั่นส่วนใหญ่จะของได้ถึง 1 ปี
  • พอโปรโมชั่นมาก็พยายามจองให้ได้ ปกติจะดูของ AirAsia เป็นหลัก เพราะถูกสุดละ สายการบินอื่นจะทำราคาได้ไม่ค่อยเท่า
  • เสริมเรื่องเทคนิคการจองสำหรับ AirAsia นิดนึงคือ ให้ไปสร้างรายชื่อผู้เดินทางไว้เลย เวลาจองจะได้ใช้เวลาน้อยหน่อย
  • ปกติเรื่องสัมภาระผมจะโหลดเฉพาะวันกลับ เพราะเผื่อว่าจะหื้วของกลับมา ส่วนขาไปก็หอบขึ้นเครื่องเอาเอง ประหยัดได้อีกพอควร
  • ส่วนที่นั่ง ถ้าไม่ซีเรียสก็ไม่ต้องจอง อาศัยตอนเช็คอินไปให้เร็วหน่อย แล้วค่อยไปขอที่เคาน์เตอร์เช็คอินเอา
  • กรณี AirAsia สำหรับบางโปรโมชั่น และบางเที่ยวบิน การจองแบบเดินทางคนเดียวกับเดินทางสองคนจะได้ราคาที่ต่างกัน ลองเช็คดูก่อนจ่าย เพราะถ้าไปสองคน จองสองครั้งอาจได้ราคาดีกว่า
  • ถ้าตามสไตล์ผมก็ เที่ยวไหนก็ได้ อิงราคาถูกเป็นหลัก ดังนั้นผมจะไม่รู้ว่าจะไปไหนจนกว่าจะได้ตั๋ว
  • การจองตั๋วต้องระวังด้วยว่าประเทศที่ไปมันต้องใช้วีซ่าป่าว ให้ดีก็ทำลิสต์ไว้ก่อนจอง
เมื่อได้เมืองที่จะเที่ยวแล้ว
  • ให้ทำแผนที่ไว้ว่าจะไปไหนบ้าง ดูจากแผนที่แล้วจะทำให้พอตัดสินใจได้ว่าอันไหนไป อันไหนไม่ไป
  • แล้วก็พอได้ที่เที่ยวก็วางแผนว่าจะเดินทางยังไง อันไหนใกล้กันก็จัดเอาไว้เที่ยววันเดียวกัน
  • เล็งโปรโมชั่นที่พักไว้ด้วย
  • จองที่พักที่มีโปร ตำแหน่งของที่พักจะเลือกได้ง่ายเมื่อรู้ที่ที่จะเที่ยวกับวางแผนการเดินทางไว้แล้ว
  • การจองห้องพักแนะนำ asiarooms.com เพราะมันไม่ตัดเงินก่อน คือเราไปรูดเองปลายทาง และเหมือนว่าค่าดำเนินการจะถูกกว่า คือถ้าได้ทริปปุ๊บก็จอง asiarooms ไว้ก่อนเลย กันพลาด แล้วถ้าโปรของ agoda ออก ค่อยจองของ agoda แทน แต่อย่าลืมยกเลิก asiarooms ให้เรียบร้อยด้วย เดี๋ยวโดนค่าปรับ
ส่วนที่เกี่ยวข้องกับค่าใช้จ่ายสำหรับเที่ยวหลักๆ ก็จะมีเรื่องเดินทางกับที่พักนี่แหล่ะ หลังจากนี้ก็เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ละ

อื่นๆ ที่ต้องทำ

  • เตรียมของให้เรียบร้อย ทำเช็คลิสต์ไว้ว่าต้องเตรียมอะไรบ้าง
  • เช็คเรื่องการเดินทางในเมืองที่ไปให้ดี ควรซื้อตั๋วแบบไหน ตั๋ววัน ตั๋วนักท่องเที่ยว หรือซื้อเป็นรายครั้ง
  • พยายามเคลียร์บัตรเครดิตให้ว่างๆ ไว้ (เคลียร์หนี้เดือนก่อนที่จะไป และพยายามอย่าใช้เพื่อเอายอดไว้ใช้ตอนเที่ยว) เวลาไปใช้จะได้สะดวก ส่วนการรูดก็ระวังดีๆ
  • เช็คโปรโมชั่นการลดราคาของช่วงที่เราจะไปไว้ กรณีถ้าจะไปช๊อป พยายามดูที่เป็น warehouse sale เพราะ sale ตามห้างแบบปกติมันไม่ค่อยถูก (ตอนที่ไปมาเลผมดูที่ shoppingnsales.com)
  • สิ่งที่ต้องระวังสำหรับทริปจองยาวคือ ต้องดูด้วยว่า passport มันยังไม่หมดอายุในช่วงที่ไปเที่ยว รู้สึกว่าจะต้องก่อนหมดอายุ 6 เดือนด้วย

คร่าวๆ ก็ประมาณนี้

2/3/55

Malaysia 2012


เนื่องจากว่าไปคว้าเอาตั๋วโปรโมชั่น Airasia 10 บาทมาได้ ก็เลยเป็นอันว่าได้ไปเที่ยว ซึ่งผมเลือกมาเล เพราะยังไม่เคยไป การจองถือว่าโหดพอควรเพราะผมจองตั๋วไว้เมือกลางเดือนกุมภา 2011 ได้ไปเที่ยวเอาปลายกุมภา 2012 จองกันข้ามปีไปเลย

ส่วนวันที่ไปได้ไปเอา 18-21 ก.พ. เหตุที่เลือก วันดังกล่าวคือ วันที่ 21 เป็นวันพระ ซึ่ง วันพระในช่วงเดียวกันของปี 2011 มันเป็นวันหยุดมาฆบูชา เลยคิดว่าช่วงเดียวกันของ 2012 จะหยุดด้วย แต่ดันคิดผิด ซวยไป ซึ่งพอมันไม่หยุดกลายเป็นว่าผมต้องลางานไปเที่ยว 2 วัน ซึ่งก็ไม่แปลกอะไร แต่ก็ต้องลุ้นว่าไม่ให้เกิดเหตุการณ์สำคัญที่จะลาไม่ได้ขึ้นมาอีก ที่แย่ขึ้นมาอีกคือ พอปลาย 2011 เกิดน้ำท่วม เด็กๆ เลยโดนเรียนชดเชยวันเสาร์ เลยกลายเป็นว่าเด็กต้องโดดเรียน 3 วันเลย แต่ถ้าไม่เลืื่อนเปิดเทอม ช่วงวันที่โดดอาจเป็นวันสอบก็ได้ เพราะปกติปลายกุมภามักจะสอบ

ตั๋ว

ได้โปร 10 บาทมา พอจองแล้วรวมค่าใช้จ่ายต่างๆ อยู่ที่ 1000 บาท สำหรับการจองคนเดียว แต่พอดีว่าเด็กไม่สามารถจองตั๋วเดินทางคนเดียวได้ (ระบบไม่ยอม) เลยต้องจอง 4 คน เลย สรุปเลยออกมาที่ 8000 บาท เท่ากับ 2000 บาท/คน ไปกลับ

มาคิดได้ทีหลังว่า ทำไมไม่จอง ผู้ใหญ่ 1 เด็ก 2 เท่ากับ 6000 บาท แล้วค่อยจองของแฟนคนเดียว 1000 บาท รวมแล้วเท่ากับ 7000 แต่ไม่ทันละ

ที่พัก

พอได้ตั๋วเสร็จก็รีบหาที่พัก ซึ่ง @markpeak แนะนำว่า ให้อิง Sentral ไว้ เพราะมันเป็นศูนย์กลางของการคมนาคม จะไปไหนก็สะดวก ก็พยายามจองใน agoda แต่จองไม่ได้สักโรงแรม มันบอกว่าเต็มหมด ขนาดจองข้ามปีนะ (แต่เอาเข้าจริงแล้ว ไม่ใช่ จริงๆ มันไม่เต็ม แต่คงเพราะเราจองล่วงหน้าเยอะไป) ก็เลยลี้ไปลองจองที่ asiarooms.com เนื่องจากเคยใช้บริการตอนทริปสิงคโปร์ไปแล้ว ก็ไปได้ห้องที่ EV World Hotel (Puduraya) ขนาด Family room ที่คืนละ 158 RM รวม 3คืนก็ 474 RM เลือกที่นี่เพราะจากที่ลิสต์ทั้งหมดที่หาได้ อันนี้มันใกล้รถไฟฟ้าที่สุดละ

แต่โชคชะตาก็เข้าข้างเรา เพราะตอนต้นปีที่ผ่านมา ได้รับเมลจาก asiarooms ว่ามีการจัดโปรโมชั่น เลยลองเข้าไปดูห้องอีกที เผื่อมีที่อื่น ดูๆ เล็งๆ ได้สักพัก agoda ก็เมลตามตูดมา เข้าไปค้นๆ ดู เลยไปได้ห้องพักที่ My Hotel @ Sentral (จริงๆ อยากได้ Hotel Sentral แต่เห็นมันมีเฉพาะห้องสำหรับ 2 คนเลยอดไป) ห้องที่ได้เป็นขนาดผู้ใหญ่ 3 คน ที่ราคา 1,478 บาท/คืน อันนี้รวมอาหารเช้าแล้ว ลดมาจากราคาเต็มที่ 3,162 บาท/คืน ในเมลแจ้งมาว่าราคารวมที่เรียกเก็บคือ 5,296.27 บาท (โดนค่าไรเพิ่มวะ)

ท่องเที่ยว

ขี้เกียจไล่จดแบบเรียงตามวันละ ขอเหมาๆ เลยละกัน ไว้ถ้าขยันพอจะมาพาทัวร์แบบรายวันอีกที

  • ลงเครื่องที่ LCC Terminal ซึ่งเป็น Terminal แบบถูก (LCCT = Low Cost Carrier Terminal) เป็นของ AirAsia โดยเฉพาะ เท่โคตร ถึงจะเก่าจะโทรม แต่มี Terminal เป็นของตัวเองมันก็เท่อยู่ดี
  • การเดินทางเข้าเมืองผมใช้บริการของ AeroBus ซึ่งก็ถูกดี ผู้ใหญ่ 8 RM เด็ก 4 RM ใช้เวลาเดินทางประมาณชั่วโมงนิดๆ ถ้าจองพร้อมตั๋วเครื่องบินเลยน่าจะแพงกว่านี้
  • ผมเลือกเที่ยวใน Kuala lumper ที่เดียว เพราะเด็กไปด้วย เที่ยวแบบเร็วๆ ไม่ได้ แถมคุณเมียก็แวะช๊อปปิ้งบ่อยอีก
  • คนที่นี่มีหลายศาสนา หลักๆ จะเป็นมุสลิม อันนี้เรารู้กันอยู่แล้ว แล้วก็มีคนจีนเล็กน้อย ประเทศเดียวที่ไม่มีคนจีนคงเป็นเอธิโอเปีย :P
  • ค่าใช้จ่ายในการเดินทางดูแล้วถูกกว่าบ้านเรา รถไฟฟ้าเริ่มต้นที่ 1 RM ประมาณ 10 บาทซึ่งบ้านเราคงหาไม่ได้
  • ไปไหนมาไหนคนจะชอบคิดว่าผมเป็นฟิลิปปิน ก็ไม่ได้ถามว่าเพราะอะไร
  • ข้าวของราคาใกล้เคียงกับบ้านเรา แต่อาหารจะแพงกว่าหน่อย เรียกว่าเที่ยวแล้วค่อนข้างอุ่นใจกับกระเป๋าเงิน
  • น้ำอัดลมราคาแปรผันดี มีตั้งแต่กระป๋องละ 1 RM ไปจนถึงกระป๋องละ 3.50 RM ซึ่งถ้าเป็นบ้านเราราคามันมักจะใกล้กันหมด แต่ที่นี่จะซื้อของต้องเลือกร้าน เพราะบางทีราคามันห่างกันแบบโหดๆ เลย
  • คนที่นี่นิยมใช้ Galaxy Note
  • สินค้า IT ไม่ถูกกว่าบ้านเราเยอะนัก มีบางอย่างถูกกว่ามากก็มี แต่เป็นส่วนน้อย พวกมือถือ Tablet นี่ห่างกันไม่เกิน 5% เลยตัดสินใจไม่ซื้อ
  • กระเบื้องปูพื้นทางเดินของคนตาบอดที่นี่เขาทำแล้วได้ใช้จริง ขนาดพื้นที่ที่เป็นทางเดินชั่วคราวเขายังวางทางเดินคนตาบอดไว้ให้ มีทีนีงผมเดินดูแผนที่อยู่ เกือบโดนคนตาบอดวิ่งชน คือ แกเอาไม้เท้าถูนำหน้าไปกับพื้น ส่วนเท้าแกก็วิ่งบนแผ่นกระเบื้องไป ประทับใจมาก
  • รถส่วนใหญ่จะใช้เป็น Proton กัน ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจ
  • รถเมลจะเป็นรถแอร์หมดสภาพค่อนข้างดี ส่วน Taxi จะค่อนข้างเก่า
  • อาหารที่นี่รสชาดใช้ได้ น่าจะถูกปากคนไทยอยู่
  • ตึกแฝดไม่ได้ขึ้น เพราะตอนไปตั๋วของวันนั้นขายหมดแล้ว
  • ภาษาหลักที่นี่จะเป็นภาษามาเล มีจีนบ้างตามจำนวนประชากรที่น่าจะเยอะอยู่ (ระยะยาวน่าจะโดนจีนกลืนแล้วกลายเป็นแบบสิงคโปร์ แต่ก็ขึ้นกับภาคการเมืองอีก) ส่วนการใช้ภาษาอังกฤษจะเหมือนเป็นเรื่องปกติของที่นี่ แต่สำเนียงก็โคตรฟังไม่รู้เรื่อง คือ พูดกับคนที่นี่ จากที่ไม่คล่องอยู่แล้วเลยใบ้ไปเลย เพราะเขาจะรู้สักว่า ก็กูพูดอังกฤษแล้วไง แต่เขาจะเผลอพูดด้วยสำเนียงที่คนบ้านเขาฟังกันรู้เรื่อง ก็เลยพูดด้วยสำเนียงเขาด้วย และพูดเร็วด้วย พอรวมกันแล้วเลยกลายเป็น กูไม่รู้เรื่อง
  • ภาษาเขียนจะใช้ตัวอักษร Latin เวลาอ่านอะไรจะต้องคิดก่อนว่า ไอ้ที่เขียนน่ะ มันเขียนภาษาอะไร คือ มันจะเผลออ่าน แล้วพออ่านไปสักพักก็ อ้าว ไม่ใช่ภาษาอังกฤษนี่หว่า
  • แลกเงินเจ็บใจมาก แลกที่สนามบินสุวรรณภูมิ ที่ 10.73 THB = 1 RM แต่ที่ในมาเล ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 10.10 THB = 1 RM ส่วนที่ต่ำสุดที่เห็นจะอยู่ที่ 10.05 THB = 1 RM
  • มีที่ที่ยังไม่ได้ไปอีกหลายที่ เช่น Mid valle, Putrajaya, One Utama, Sunway
  • ได้นั่งรถโดยสารเกือบครบทุกอย่างล่ะ เหลือแค่ KLIA Express ที่อยู่นอกเส้นทาง
  • คนที่นี่สูบบุหรี่เยอะมาก
  • ผู้ชายจะลุกให้ เด็ก คนท้อง คนแก่ เหมือนบ้านเรา
  • เวลาเป็น GMT +8 แต่เมือง Kuala lumper จะอยู่ตรงกับกรุงเทพ จริงๆ อยู่ค่อนมาทางตกวันตกของกรุงเทพด้วยซ้ำ ดังนั้น 7 โมงเช้าของเขาเลยยังมืดๆ อยู่เลย ก็เลยงงๆ กับเวลานิดนึง แต่ก็เข้าใจเพราะแต่เดิมมาเลมันอยู่ฝั่งอินโดอย่างเดียว แล้วด้าน Kuala lumper เพิ่งได้จากพื้นที่ของประเทศไทยไป พอใช้เวลา +8 แบบฝั่งเดี่ยวกับของทางอินโด แต่แนวพระอาทิตย์ตรงกับกรุงเทพเลยแปลกๆ
  • มือถือ Android ฉลาดดี ขนาดไม่ได้ต่อเน็ต ไม่ได้เปิด GPS แต่มันปรับค่าเวลาให้ผมเองอัตโนมัติ เข้าใจว่าเอาค่ามาจากผู้ให้บริการมือถือที่มัน Roaming ไป
  • แบงก์ใหญ่สุดจะเป็นแบงก์ 50 RM แบงก์เล็กสุดเป็น 1 RM ส่วนเหรียญเล็กสุดเป็น 5 sen จะเท่ากับ 50 สตางค์ เหรียญใหญ่สุดเป็น 50 sen เท่ากับ 5 บาท
  • ข้าวของเวลาซื้อราคาเขาจะลงถึงระดับ 10 sen เช่น น้ำแก้วละ 1.40 RM จะเท่ากับ 14 บาท ซึ่งบ้านเราถ้า 14 บาท ก็จะขายกัน 15 บาทไปเลย ซึ่งอันนี้เป็นอะไรที่ค่อนข้างน่าอิจฉา
ยัดอัลบั้มไว้ก่อน ถ้าขยันจะเขียนเล่าเป็น Blog entry ใหม่ละกันนะ



ค่าใช้จ่าย

ผมค่อนข้างสนุกกับการบริหารรายรับรายจ่าย รู้สึกเหมือนเล่นเกมดี ดังนั้นโจทย์ของทริปนี้ก็เลยออกมาว่าต้องถูก (ประจำอ่ะ) คือ ถูกอย่างเหมาะสมด้วย

แลกเงินไปที่ 8,000 บาท อัตราแลกเปลี่ยนที่ 10.73 บาท = 1 RM จริงๆ ให้เมียไว้ 10,000 แต่แลกมาเท่านี้ ซึ่งก็ดีแล้ว เพราะถ้าเหลือเยอะเกินไปตอนแลกคืนก็เจอส่วนต่างอีก

ค่าใช้จ่ายก็ออกมาประมาณนี้

ค่าใช้จ่ายที่ไทย

  • เครื่องบิน 8,000 บาท
  • ทำพาสปอร์ตเพิ่ม 2 เล่ม 2,000 บาท
  • Taxi ไปกลับสนามบิน ประมาณ 750 บาท
  • กินข้าวบนเครื่องบิน 190 บาท


ค่าใช้จ่ายที่มาเล แยกตามหมวดแบบคร่าวๆ

  • ที่พัก 5,296.27 บาท
  • กิน 278 RM
  • กิน 242.10 บาท (Groupon Deal)
  • เดินทาง 105.3 RM
  • ช๊อปปิ้ง 479.85 RM
  • อื่นๆ ไม่เข้าพวก 3.4 RM


รวมแล้วเป็นอันว่า หมดไปทั้งสิ้น 26,000 บาท โดยประมาณ ถือว่าใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้มาก ถ้าตัดของช๊อปปิ้งออกไปจะอยู่ที่ประมาณ 20,000 บาท ซึ่งถือว่าโอเคมากเลย ไม่รู้ว่าโดยทั่วไปแล้วเขาไปมาเลกันที่กี่ตังค์

ไว้คราวหน้ามีโปรราคาถูกค่อยจัดอีก

29/2/55

Faith


ศรัทธา หมายถึงอะไร ผมไม่ค่อยแน่ใจเรื่องการตีความของความหมายอย่างแน่ชัดนัก แต่โดยทั่วไปที่เราเคยรู้จักกับคำว่าศรัทธานั้น ศรัทธาหมายถึงการเชื่อถือ ซึ่งเป็นคนละอันกับความเชื่อนะ คือ ความเชื่อไม่ใช่ศรัทธา แต่เราศรัทธาในความเชื่อ อันนี้น่าจะพอเห็นภาพ

โดยมากแล้วในสังคมปัจจุบัน พอพูดถึง ศรัทธา ความเชื่อ เราจะโยงไปถึงความงมงายโดยอัตโนมัติ แต่แท้จริงแล้ว เราจะทำอะไรได้น้อยมาก หากปราศจากศรัทธา คือ ศรัทธานี้ ไม่ใช่ความเชื่อก็จริง แต่มันก็หมายถึงความเชื่อถือโดยตัวมันเอง อย่างที่บอกว่า ถ้าปราศจากศรัทธา เราจะทำอะไรได้น้อยมาก เช่น สมัยเด็กพ่อสอนเราว่ายน้ำ ถ้าเราไม่ศรัทธาในตัวพ่อ ว่าพ่อว่ายน้ำได้ และสามารถช่วยเราไม่ให้จมน้ำได้ เราก็จะไม่ยอมให้พ่อสอนเราว่ายน้ำ เป็นต้น

ความศรัทธา และความเชื่อถือนี้ จะมีมากน้อยขึ้นกับปัจจัยต่างๆ ด้วย โดยมากแล้วก็ขึ้นกับ ตัวผู้ที่จะศรัทธา หรือสิ่งที่เราจะศรัทธา (ผู้ที่เราศรัทธาสามารถเป็นตัวเราเองได้ด้วย) ตัวเราเอง และสภาพแวดล้อม ถ้าเราเชื่อ โดยปราศจากเหตุผลเลยจะกลายเป็นว่างมงาย (แต่ไม่มีใครเชื่อโดยปราศจากเหตุผลอยู่แล้ว แต่ขึ้นกับว่าเหตุผลของแต่ละคนนั้น) หรือถ้าเชื่อโดยที่สิ่งที่เราเชื่อนั้น น่าเชื่อถือ แต่กลับไม่เป็นจริง ก็จะกลายเป็นถูกหลอกไป

ศรัทธานั้นเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราตัดสินใจทำอะไรหรือไม่ ตัวอย่าง

ผมพลัดหลงไปโผล่ที่เกาะเอลูบาบู แล้วก็พบกับชาวเมือง ดอลลี่และโบกี้ ผมบอกกับเขาว่า ในอากาศนี้มีภาพ และเสียงลอยอยู่เยอะแยะเต็มไปหมด แต่ร่างกายของเราไม่มีความสามารถที่จะรับข้อมูลเหล่านั้นได้ ถ้าคุณอยากเห็นสิ่งที่ผมเล่า คุณต้องช่วยผมสร้างสิ่งที่เรียกว่า ทีวี

จากตัวอย่าง ถ้าดูตามสภาพแวดล้อมของเกาะเอลูบาบู ที่ไม่เคยมีทีวีมาก่อน ต้องไม่มีใครเชื่อ และถ้าใครศรัทธา และลงมือสร้างทีวีตามคำบอกเล่าของผม ก็จะกลายเป็นพวกงมงายไปเลย

จบแค่นี้ดีกว่า ที่เหลือไปคิดต่อด้วยวิถีของแต่ละท่านเองดีกว่า สนุกดี

27/2/55

Parent


ผู้ปกครอง คำนี้ฟังน่าคิดดี เราสามารถเป็นอะไรกับลูกได้บ้าง


  • เป็นพ่อและแม่ คือ ผู้ให้กำเนิด เป็นสถานะที่ไม่มีวันเปลี่ยนได้ เหมือน Founder นั่นเอง
  • เป็นครู คือ ผู้ประสิทธิ์ประสาทความรู้และวิชาต่างๆ เป็นสถานะที่คงอยู่ แต่สามารถเลิกเป็นได้ คือ เมื่อลูกมีความรู้เหนือเรา เราก็ไม่สามารถเป็นครู (ในศาสตร์นั้นๆ) ได้อีกแลัว แต่เราก็ยังคงเคยเป็นครูอยู่ เพราะได้เคยให้ความรู้ในครั้งก่อนๆ ไว้
  • เป็นเพื่อน คำว่าเพื่อนนี้มีความหมายที่มากกว่าเพื่อนเล่น หรือเพื่อนเที่ยว คือจะต้องเป็นที่ปรึกษาได้ พูดคุยในเรื่องที่เราไม่กล้าที่จะคุยกับพ่อแม่ หรือครูได้ ให้ความสนุกสนาน คุยเล่นได้ แก้เหงาได้
  • เป็นผู้ปกครอง คือ ให้ความคุ้มครองดูแล สถานะนี้สามารถเปลี่ยนได้ เมื่อเขาโตจนกระทั่งดูแลตัวเองได้แล้ว เขาจะไม่ต้องการผู้ปกครองอีก เพราะเขาต้องการที่จะปกครองตัวเองมากกว่า หรือเมื่อเขาจากเราไปอยู่ภายใต้ความดูแลของคนอื่น เขาก็จะมีคนอื่นเป็นผู้ปกครอง


คำว่าผู้ปกครองเป็นคนที่น่าสนใจดี สังเกตว่า เราสามารถเป็นเจ้าของสิ่งใดๆ ได้ เช่น จับกระรอกมา แล้วใส่กรงเลี้ยงไว้ เราก็บอกได้ว่าเราเป็นเจ้าของ หรือเราเก็บของที่สามารถระบุตัวเจ้าของได้ เราก็สามารถแต่งตั้งตัวเองเป็นเจ้าของได้ แต่เราไม่สามารถเป็นเจ้าของมนุษย์ได้ (ในสมัยนี้) แม้ว่ามนุษย์นั้นจะเป็นมนุษย์ลูกที่เราสร้างขึ้นมาเองเราก็ไม่สามารถเป็นเจ้าของได้ เราเป็นได้แค่ผู้ปกครองเท่านั้น

คำว่าเจ้าของฟังดูเหมือนเราจะมีสิทธิ์ขาดในสิ่งนั้นๆ ได้ แต่ผู้ปกครองนั้นคำค่อนข้างชัดเจนว่ามีสิทธิ์แค่ปกครองเท่านั้น ในบางประเทศถ้าเราปกครองได้ไม่ดี รัฐมีสิทธิ์ยึดไปดูแลเองด้วยซ้ำ

ดังนั้นในฐานะของผู้ปกครองแล้ว ให้เราระลึกไว้เสมอว่า เราสามารถปกครองเขาได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น ถึงเวลาที่เขาเลือกที่จะปกครองตัวเองเมื่อไหร่ เราก็ต้องทำใจยอมรับ และสิ่งสำคัญของการปกครองนั้น เราต้องปูพื้นฐานของการปกครองตนเอง เพื่อให้เขาสามารถปกครองตนเองได้อย่างมีประสิทธิ์ภาพเมื่อเขาพร้อม

My son almost teenager


พอดีเริ่มโต (10ขวบแล้ว) และรู้สึกว่าพักหลังๆ จะมีปัญหากับแม่อยู่บ่อยๆ เนื่องจากผมเป็นลูกคนเดียวและตอนเด็กๆ ก็ไม่ค่อยจะมีปัญหากับพ่อแม่เท่าไหร่นัก เลยไม่คุ้นเคยกับปัญหาของความเป็นวัยรุ่น แต่ในตอนนี้สภาวะดังกล่าวกำลังดำเนินเข้าสู่ครอบครัว และคงเป็นผมเท่านั้นที่จะบรรเทาภัยได้

ภัยของการเป็นวัยรุ่นคือ การไม่สามารถเข้าหาผู้ปกครองได้ เนื่องจากความไม่เข้าใจกัน และเมื่อไม่เข้าหาผู้ปกครอง แปลว่าเขาจะไปเข้าหาคนอื่น และเราจะไม่สามารถรับรู้ได้ว่าคนที่เขาเข้าหานั้นจะหยิบยื่นอะไรให้กับลูกเรา

ปัญหาของที่บ้านในตอนนี้เป็นเรื่องของการสื่อสาร

ตัวอย่าง

แม่: ทำไมลูกปล่อยให้น้องรื้อของขนาดนี้
ลูก: ก็หนูไม่รู้ หนูอยู่ข้างบน

ตามตัวอย่างนี้ แฟนผมก็จะโวยลูกชายว่า "อย่ามาเถียงนะ" ซึ่งคุณลูกชายก็จะไม่พอใจอีก เพราะเขาไม่ได้เถียง แต่เขาพยายามอธิบายเหตุผล ซึ่งก็ปกติ เพราะเขาก็อยู่ในวัยที่มีเหตุมีผลแล้ว

ปัญหาหลักๆ ของแฟนผมคือ เขาจะรู้สึกว่าคนอื่นต้องเข้าใจเขา แต่ในเวลานี้มันไม่ใช่แล้ว เพราะตัวเขาต่างหากที่ต้องเข้าใจลูก

ตอนนี้ยังไม่รู้จะแก้ปัญหายังไง เพราะถ้าพยายามคุยกับแฟน เขาก็จะพยายามบอกให้ผมเข้าใจเขา และให้ลูกเข้าใจเขา ซึ่งในความเป็นจริงมันไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ และลูกต่างหากที่กำลังต้องการคนเข้าใจ

เท่าที่ผมพอจะทำได้ดีที่สุดในตอนนี้คือ ให้ลูกรู้สึกว่าเป็นที่พึ่งได้ คืออย่างน้อยคุยกับแม่ไม่รู้เรื่องคุยกับพ่อก็ได้วะ เพื่อไม่ให้หันหน้าไปหาคนอื่น ยิ่งตอนนี้เวลาก็งวดเข้ามาทุกที เหลืออีกไม่กี่ปีลูกก็จะเข้าสู่วัยรุ่นเต็มตัวละ และถึงตอนนั้นจะเป็นยังไงก็ไม่รู้ หนักใจ - -"

24/2/55

ฝึกปลูกผัก

ตั้งใจว่าจะลองปลูกฝักกินเองมาพักใหญ่ละ แต่เพิ่งมีโอกาสได้ปลูก คือ หาซื้อเมล็ดค่อยข้างยาก

ซื้อเมล็ดยี่ห้ออะไรมาไม่รู้ พรวนดิน โรยเมล็ดลงไป คลุกๆ กับดินอีกที แล้วก็พรมน้ำ ประมาณว่าขี้เกียจ จะเอาเร็วเป็นหลัก ปรากฏว่ามันขึ้นดีมาก แทบจะ 100% ของเมล็ดที่โรยลงไปเลย เลยได้บทเรียนว่า มันแน่นไป ต้องห่างๆ หน่อย (คือ ไม่นึกว่ามันจะขึ้นซะ 100%) คราวหน้าต้องวางแผนให้ดีนิดนึง แต่เรื่องเพาะต้นกล้าแล้วค่อยลงดินนี่ไม่ใช่ผมแน่ๆ

ปลูกมาได้สักเดือนละ แต่ต้นยังไม่โตพอที่จะกินได้ คิดว่าใช้เวลาสัก 2.5-3 เดือนน่าจะได้กิน

ต้นที่ปลูกตอนนี้มี ผักกาดขาว กับ คะน้า ที่ใช้เมล็ดที่ซื้อมา นอกจากนี้ก็มี ส้ม ที่ปลูกจากเมล็ดที่กินผลไป แล้วก็มีบวบ ที่ได้เมล็ดมาจากไหนไม่รู้ ปลูกไป 3 เมล็ดขึ้นหมดเลย ปลูกไว้ใต้ต้นมะม่วง คงไม่ย้ายละต้องปล่อยให้เลื้อยมะม่วงไป นอกจากนี้ก็มีมะพร้าว 3 ต้นที่ซื้อมา แล้วก็ข้าวโพดงอกขึ้นมา 2 ต้น จากอาหารไก่ที่หล่นตามพื้น แล้วก็กระเพรากับโหระพาที่เด็ดใบไปกินแล้วเอาต้นมาเสียบๆ ไว้





อันนี้ภาพเมื่อสักสองอาทิตย์ที่แล้ว ไว้มีเวลาจะขนภาพชุดใหญ่มาลง

ที่บ้านยังพอมีบริเวณอีก แต่ช่วงนี้ไม่ค่อยมีเวลาเท่าไหร่ แต่ปลูกผักกินเองนี่ฝันมานานละ

15/2/55

Move to blogger

เคยสมัครใช้ Blogger อยู่นานแล้ว แต่ก็ไม่ได้ใช้ เพราะตัดสินใจตั้ง Drupal ใช้เองเพื่อให้ได้ความสามารถบางอย่างที่เราต้องการ กาลเวลาผ่านไป ถึงตอนนี้เปลี่ยนใจย้ายกลับมาที่ Blogger อีกครั้ง เนื่องจากรู้สึกล้า (จริงๆ คือ เบื่อ) กับการต้องมาคอยตามอัปเดต Drupal คอมซ่อมแซมระบบ คือดูแลเองมันเหนื่อย เลยตัดสินใจย้ายกลับมาที่ Blogger อีกครั้ง จริงๆ พยายามอยู่นานมากละ แต่ Export ข้อมูลจาก Drupal ให้ได้ ตรงมาตรฐาน XML ของ Blogger ที่จะใช้ Import นี่มันยากมาก ก็เลยย้ายมาก่อนเลยละกันวะ

ส่วนของ Domain ก็มีปัญหากับ Dreamhost คือ มันไม่ยอมให้แก้ DNS ของ Domain มันให้แก้แค่ของ Sub-domain เท่านั้น เลยต้องตั้งเป็น blog.gumara.com ไป แล้วค่อย Redirect gumara.com มาอีกที ดูวุ่นวายไปหน่อย แต่ก็จัดการไปซะให้มันจบๆ ไป ไม่ไหวจะดูแล Drupal ละ ส่วน Content เก่าๆ จะค่อยๆ ย้ายมารวมไว้อีกที

สำหรับ Drupal ที่ gumara.com ก็ใช้มาตั้งแต่ตอนที่ Drupal มันขึ้นเวอร์ชั่น 4 ใหม่ จนมาจบอายุที่เวอร์ชั่น 7 ก็ถือว่าใช้งานมานานมาก ถึงตอนนี้ย้ายมาเป็น Blogger แล้ว ความสะดวกคงมากขึ้นเยอะ แต่ก็ต้องเสียความยืดหยุดบางอย่างที่เราจะสามารถทำได้ไป แต่ก็คงต้องยอมรับละ คือ ต้องเลือกเอาสักทาง

อ่อ แล้วก็ ยินดีต้อนรับเข้าสู่โลกของ SAAS ครับ