30/3/55

Why men lie


ทำไมผู้ชายถึงชอบโกหก นี่เป็นคำถามที่เราจะได้ยินจากผู้หญิงบ่อยมาก ไม่ว่าจะที่เขามาพูดกับเรา หรือจากบทสนทนาในกลุ่มผู้หญิงเอง

คำตอบนี้เป็นอะไรที่ผู้ชายรู้กันอยู่แล้ว เพราะมันมีสาเหตุเดียวกันหมด และมันดันเป็นเรื่องแย่ที่ผู้หญิงดันไม่เข้าใจ หรือไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยตัวเอง หรือที่แย่กว่านั้นคือ อธิบายแล้วก็ยังเสือกไม่ยอมจะเข้าใจ

สาเหตุของ "ทำไมผู้ชายถึงชอบโกหก" มีต้นเหตุมาจากสิ่งเดียวกับหลายๆ อย่างที่ผู้หญิงไม่เข้าใจ คือ เวลาจะตัดสินใจทำอะไรผู้ชายจะเผลอคิดถึงผลได้ผลเสียเสมอ ไม่ว่าจะอยากหรือไม่ เพราะเขาเป็นอย่างนั้นเอง

หมายเหตุ คำว่า โกหก ในนิยามของผู้หญิงจะหมายรวมถึงการไม่บอกสิ่งที่เกิดขึ้นด้วย ซึ่งโกหกของผู้ชายจะหมายถึง การพูดเพื่อบิดเบือนความจริงเท่านั้น และความจริงของผู้หญิงคือ ความจริงที่เธอเลือกที่จะเชื่อ ไม่ใช่ความจริงที่ปรากฏขึ้นจริง (วอนดราม่าอีกแล้วไม๊กู)

กลับมาที่ "ทำไมผู้ชายถึงชอบโกหก" ต้นเหตุของการที่ผู้ชายจะต้องโกหกเป็นเพราะ เขารู้สึกไม่ปลอดภัยที่จะพูดความจริง

ตัวอย่างสถานะการ "วันหนึ่งคุณผู้ชายไปห้าง แล้วบังเอิญไปเจอแฟนเก่า ก็ทักทายถามไถ่ กันประมาณ 3 นาที แล้วก็แยกย้ายไป ไม่มีไรเกิดขึ้น" ยกตัวอย่างที่เกิดขึ้น

- คุณผู้หญิงถามว่า วันนี้เป็นไงบ้าง ในสมองของผู้ชายจะเริ่มวิเคราะห์ว่า ถ้ากูบอกไปตามจริงจะเกิดอะไรบ้าง ซึ่งคำตอบที่ออกมา จะแปรผันตามประสบการณ์ เช่น ถ้าวิเคราะห์แล้ว ว่าตอบไปตามจริงก็ไม่มีอะไร แฟนไม่ด่า เข้าใจ ยอมรับ เฉยๆ (ต้องแยกระหว่างเฉยๆ กับอดกลั้นด้วย คือ ถ้าผู้หญิงไม่ด่า แต่เก็บไว้ในใจประมาณว่าแค้น ผู้ชายก็จะไม่ตอบ)

ซึ่งหลังจากวิเคราะห์แล้ว คำตอบจะออกมาตามผล เช่น ถ้าตอบกูตาย หรืออาจตาย ผู้ชายจะเลือกที่จะเลี่ยงตอบความจริง เพราะผลที่ได้คือไม่โดนด่า ถ้าอธิบายเป็นค่าตัวเลขจะประมาณนี้

- ตอบแบบเลี่ยง ค่าความซวย = 0
- ตอบตามจริง ค่าความซวย = 50 - 100
- จับได้ทีหลัง ค่าความซวย = 100

ดังนั้นถ้าไม่แน่ใจในค่าความซวย ผู้ชายจะตอบข้อแรก เพื่อให้ได้ค่าความซวยเป็น 0 แล้วพยายามเก็บความลับไว้ เพื่อไม่ให้ค่าความซวยกลายเป็น 100

จะเห็นได้ว่า ตรรกมันตรงไปตรงมา ถูกต้อง และเป็นวิทยาศาสตร์

การที่ผู้ชายจะชอบโกหกหรือไม่นั้น คุณต้องเชื่อก่อนว่า ไม่มีใครที่ชอบโกหกโดยสันดาน แต่การโกหก จะมาจากการปรับตัวเพื่อความอยู่รอด ซึ่งเป็นสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิต ดังนั้นถ้าคุณไม่อยากให้คุณผู้ชายโกหก คุณต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่จำเลยจะรู้สึกปลอดภัยจากการพูดความจริง (คือ ปราศจากการลงโทษ เคลือบแคลงสงสัย ไม่ไว้วางใจ) และความจริงที่เขาพูดจะไม่กลับมาเล่นงานเขาได้ในภายหลัง ถ้าคุณสร้างสภาพแวดล้อมอย่างนี้ได้ คุณจะไม่เห็นผู้ชายโกหกอีกเลย

อีกอย่างการที่ผู้ชายโกหกไม่ใช่เพราะเขาไม่รักคุณ แต่เพราะเขารักคุณต่างหากเขาจึงโกหก เพราะเขาไม่อยากให้คุณทุกข์ ไม่อยากให้คุณด่าเขา และอยากอยู่ร่วมกับคุณอย่างมีความสุข เขาจึงต้องการให้ค่าความซวยเป็น 0 ซึ่งอันนี้เป็นเหตุผลเดียวกับที่ผู้หญิงจะชอบบอกว่า ที่จับผิดหรือระแวงไม่ใช่เพราะไม่รัก แต่เป็นเพราะรักต่างหากจึงต้องจับผิด

ปล. รักคือเข้าใจ ไว้ใจ ให้อภัย มีครบ 3 อย่างได้จะเป็นสุข
ปล2. เรื่องโกหกนี่ไม่ใช่เฉพาะกับแฟนนะ อันนี้เหมารวม ชายกับหญิง ในทุกความสัมพันธ์เลย เช่น ลูกชายไม่กล้าบอกแม่ว่าโดนเพื่อนแกล้ง เพราะกลัวแม่ไปโวยวายที่โรงเรียน เป็นต้น

เสียงของการันต์


เคยถกกับเพื่อนอยู่ พอสมควรว่า ตัวอักษรที่มี "การันต์" กำกับอยู่นั้นมันมีเสียงไม๊ โดยความเชื่อส่วนตัว ผมเชื่อว่ามันมี เพราะประสบการณ์จากการใช้งาน ส่วนคนที่เชื่อว่าไม่มีเสียง น่าจะเพราะถูกอาจารย์ฝังหัวไว้แบบนั้น ซึ่งจริงๆ ผมก็ถูกอาจารย์ฝังหัวไว้แหล่ะ แต่ประสบการณ์มันสอนว่าไม่ใช่

ทดสอบด้วยการอ่านคำเหล่านี้

ไฟ, ไฟล์, ไฟน์, ไฟท์

จะพบว่า คุณออกเสียงไม่เหมือนกัน แต่ก็เป็นไปได้ว่า อาจเกิดจากการผิดเพี้ยนเพราะเราพยายามเชื่อมโยงคำกับภาษาอังกฤษ (หรือเปล่า)

พยายามจะหาคำไทย ที่เขียนเหมือนกัน แต่ลงด้วยการันต์ที่ต่างกันเพื่อเปรียบเทียบแต่นึกไม่ออก

19/3/55

Daily lives of high school boys

วันก่อนไปบ้าน @manatsawin โดนยัดเยียดให้ดูการ์ตูนเรื่อง Daily lives of high school boys หรือชื่อญี่ปุ่นว่า  Danshi Koukousei no Nichijou

เป็นการ์ตูนร่วมสร้างของผู้สร้าง Sunrise ผู้สร้างกันดั้ม และ Square Enix ที่ทำ Final fantasy เนื้อเรื่องเป็นเรื่องของชีวิตประจำวันของเด็ก ม.ปลาย (ก็ตามชื่อเรื่องแหล่ะ) แล้วมันก็บ้าๆ ดี การ์ตูนออกขำๆ สไตล์ กินทามะ เนื้อเรื่องไม่ต่อเนื่องกัน (ถือเป็นจุดเด่นสำหรับการ์ตูนสไตล์นี้เลย) อยากดูตอนไหนก็ดู

ตัวอย่าง


ถ้าเสพติดแล้วก็ตามไปดูที่วิดีโอของ WongsakornOHM

Back to facebook


เพื่อนค่อยๆ หายกันไปทีละคนสองคน ลาก่อน ไว้เปิด Post API แล้่วค่อยมาว่ากันใหม่

5/3/55

Economy trip how to


หลังจากพยายามเที่ยวแบบประหยัดมาได้สักระยะ เลยเริ่มเห็นกระบวนการการสร้างทริปประหยัดของตัวเอง ก็จดไว้สักหน่อยเผื่อครั้งต่อๆ ไปได้เอาเป็นแนวทาง

ขั้นตอนจะตามนี้

จับตั๋วราคาถูกให้ได้ก่อน อันนี้สำคัญ
  • เล็งวันที่ว่างสำหรับปีนั้นๆ และเผื่อไปอีก 1 ปีไว้ ผมจะทำเป็น Spread sheet เตรียมไว้เลย เขียนเผื่อไว้ 1 ปี เพราะโปรโมชั่นส่วนใหญ่จะของได้ถึง 1 ปี
  • พอโปรโมชั่นมาก็พยายามจองให้ได้ ปกติจะดูของ AirAsia เป็นหลัก เพราะถูกสุดละ สายการบินอื่นจะทำราคาได้ไม่ค่อยเท่า
  • เสริมเรื่องเทคนิคการจองสำหรับ AirAsia นิดนึงคือ ให้ไปสร้างรายชื่อผู้เดินทางไว้เลย เวลาจองจะได้ใช้เวลาน้อยหน่อย
  • ปกติเรื่องสัมภาระผมจะโหลดเฉพาะวันกลับ เพราะเผื่อว่าจะหื้วของกลับมา ส่วนขาไปก็หอบขึ้นเครื่องเอาเอง ประหยัดได้อีกพอควร
  • ส่วนที่นั่ง ถ้าไม่ซีเรียสก็ไม่ต้องจอง อาศัยตอนเช็คอินไปให้เร็วหน่อย แล้วค่อยไปขอที่เคาน์เตอร์เช็คอินเอา
  • กรณี AirAsia สำหรับบางโปรโมชั่น และบางเที่ยวบิน การจองแบบเดินทางคนเดียวกับเดินทางสองคนจะได้ราคาที่ต่างกัน ลองเช็คดูก่อนจ่าย เพราะถ้าไปสองคน จองสองครั้งอาจได้ราคาดีกว่า
  • ถ้าตามสไตล์ผมก็ เที่ยวไหนก็ได้ อิงราคาถูกเป็นหลัก ดังนั้นผมจะไม่รู้ว่าจะไปไหนจนกว่าจะได้ตั๋ว
  • การจองตั๋วต้องระวังด้วยว่าประเทศที่ไปมันต้องใช้วีซ่าป่าว ให้ดีก็ทำลิสต์ไว้ก่อนจอง
เมื่อได้เมืองที่จะเที่ยวแล้ว
  • ให้ทำแผนที่ไว้ว่าจะไปไหนบ้าง ดูจากแผนที่แล้วจะทำให้พอตัดสินใจได้ว่าอันไหนไป อันไหนไม่ไป
  • แล้วก็พอได้ที่เที่ยวก็วางแผนว่าจะเดินทางยังไง อันไหนใกล้กันก็จัดเอาไว้เที่ยววันเดียวกัน
  • เล็งโปรโมชั่นที่พักไว้ด้วย
  • จองที่พักที่มีโปร ตำแหน่งของที่พักจะเลือกได้ง่ายเมื่อรู้ที่ที่จะเที่ยวกับวางแผนการเดินทางไว้แล้ว
  • การจองห้องพักแนะนำ asiarooms.com เพราะมันไม่ตัดเงินก่อน คือเราไปรูดเองปลายทาง และเหมือนว่าค่าดำเนินการจะถูกกว่า คือถ้าได้ทริปปุ๊บก็จอง asiarooms ไว้ก่อนเลย กันพลาด แล้วถ้าโปรของ agoda ออก ค่อยจองของ agoda แทน แต่อย่าลืมยกเลิก asiarooms ให้เรียบร้อยด้วย เดี๋ยวโดนค่าปรับ
ส่วนที่เกี่ยวข้องกับค่าใช้จ่ายสำหรับเที่ยวหลักๆ ก็จะมีเรื่องเดินทางกับที่พักนี่แหล่ะ หลังจากนี้ก็เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ละ

อื่นๆ ที่ต้องทำ

  • เตรียมของให้เรียบร้อย ทำเช็คลิสต์ไว้ว่าต้องเตรียมอะไรบ้าง
  • เช็คเรื่องการเดินทางในเมืองที่ไปให้ดี ควรซื้อตั๋วแบบไหน ตั๋ววัน ตั๋วนักท่องเที่ยว หรือซื้อเป็นรายครั้ง
  • พยายามเคลียร์บัตรเครดิตให้ว่างๆ ไว้ (เคลียร์หนี้เดือนก่อนที่จะไป และพยายามอย่าใช้เพื่อเอายอดไว้ใช้ตอนเที่ยว) เวลาไปใช้จะได้สะดวก ส่วนการรูดก็ระวังดีๆ
  • เช็คโปรโมชั่นการลดราคาของช่วงที่เราจะไปไว้ กรณีถ้าจะไปช๊อป พยายามดูที่เป็น warehouse sale เพราะ sale ตามห้างแบบปกติมันไม่ค่อยถูก (ตอนที่ไปมาเลผมดูที่ shoppingnsales.com)
  • สิ่งที่ต้องระวังสำหรับทริปจองยาวคือ ต้องดูด้วยว่า passport มันยังไม่หมดอายุในช่วงที่ไปเที่ยว รู้สึกว่าจะต้องก่อนหมดอายุ 6 เดือนด้วย

คร่าวๆ ก็ประมาณนี้

2/3/55

Malaysia 2012


เนื่องจากว่าไปคว้าเอาตั๋วโปรโมชั่น Airasia 10 บาทมาได้ ก็เลยเป็นอันว่าได้ไปเที่ยว ซึ่งผมเลือกมาเล เพราะยังไม่เคยไป การจองถือว่าโหดพอควรเพราะผมจองตั๋วไว้เมือกลางเดือนกุมภา 2011 ได้ไปเที่ยวเอาปลายกุมภา 2012 จองกันข้ามปีไปเลย

ส่วนวันที่ไปได้ไปเอา 18-21 ก.พ. เหตุที่เลือก วันดังกล่าวคือ วันที่ 21 เป็นวันพระ ซึ่ง วันพระในช่วงเดียวกันของปี 2011 มันเป็นวันหยุดมาฆบูชา เลยคิดว่าช่วงเดียวกันของ 2012 จะหยุดด้วย แต่ดันคิดผิด ซวยไป ซึ่งพอมันไม่หยุดกลายเป็นว่าผมต้องลางานไปเที่ยว 2 วัน ซึ่งก็ไม่แปลกอะไร แต่ก็ต้องลุ้นว่าไม่ให้เกิดเหตุการณ์สำคัญที่จะลาไม่ได้ขึ้นมาอีก ที่แย่ขึ้นมาอีกคือ พอปลาย 2011 เกิดน้ำท่วม เด็กๆ เลยโดนเรียนชดเชยวันเสาร์ เลยกลายเป็นว่าเด็กต้องโดดเรียน 3 วันเลย แต่ถ้าไม่เลืื่อนเปิดเทอม ช่วงวันที่โดดอาจเป็นวันสอบก็ได้ เพราะปกติปลายกุมภามักจะสอบ

ตั๋ว

ได้โปร 10 บาทมา พอจองแล้วรวมค่าใช้จ่ายต่างๆ อยู่ที่ 1000 บาท สำหรับการจองคนเดียว แต่พอดีว่าเด็กไม่สามารถจองตั๋วเดินทางคนเดียวได้ (ระบบไม่ยอม) เลยต้องจอง 4 คน เลย สรุปเลยออกมาที่ 8000 บาท เท่ากับ 2000 บาท/คน ไปกลับ

มาคิดได้ทีหลังว่า ทำไมไม่จอง ผู้ใหญ่ 1 เด็ก 2 เท่ากับ 6000 บาท แล้วค่อยจองของแฟนคนเดียว 1000 บาท รวมแล้วเท่ากับ 7000 แต่ไม่ทันละ

ที่พัก

พอได้ตั๋วเสร็จก็รีบหาที่พัก ซึ่ง @markpeak แนะนำว่า ให้อิง Sentral ไว้ เพราะมันเป็นศูนย์กลางของการคมนาคม จะไปไหนก็สะดวก ก็พยายามจองใน agoda แต่จองไม่ได้สักโรงแรม มันบอกว่าเต็มหมด ขนาดจองข้ามปีนะ (แต่เอาเข้าจริงแล้ว ไม่ใช่ จริงๆ มันไม่เต็ม แต่คงเพราะเราจองล่วงหน้าเยอะไป) ก็เลยลี้ไปลองจองที่ asiarooms.com เนื่องจากเคยใช้บริการตอนทริปสิงคโปร์ไปแล้ว ก็ไปได้ห้องที่ EV World Hotel (Puduraya) ขนาด Family room ที่คืนละ 158 RM รวม 3คืนก็ 474 RM เลือกที่นี่เพราะจากที่ลิสต์ทั้งหมดที่หาได้ อันนี้มันใกล้รถไฟฟ้าที่สุดละ

แต่โชคชะตาก็เข้าข้างเรา เพราะตอนต้นปีที่ผ่านมา ได้รับเมลจาก asiarooms ว่ามีการจัดโปรโมชั่น เลยลองเข้าไปดูห้องอีกที เผื่อมีที่อื่น ดูๆ เล็งๆ ได้สักพัก agoda ก็เมลตามตูดมา เข้าไปค้นๆ ดู เลยไปได้ห้องพักที่ My Hotel @ Sentral (จริงๆ อยากได้ Hotel Sentral แต่เห็นมันมีเฉพาะห้องสำหรับ 2 คนเลยอดไป) ห้องที่ได้เป็นขนาดผู้ใหญ่ 3 คน ที่ราคา 1,478 บาท/คืน อันนี้รวมอาหารเช้าแล้ว ลดมาจากราคาเต็มที่ 3,162 บาท/คืน ในเมลแจ้งมาว่าราคารวมที่เรียกเก็บคือ 5,296.27 บาท (โดนค่าไรเพิ่มวะ)

ท่องเที่ยว

ขี้เกียจไล่จดแบบเรียงตามวันละ ขอเหมาๆ เลยละกัน ไว้ถ้าขยันพอจะมาพาทัวร์แบบรายวันอีกที

  • ลงเครื่องที่ LCC Terminal ซึ่งเป็น Terminal แบบถูก (LCCT = Low Cost Carrier Terminal) เป็นของ AirAsia โดยเฉพาะ เท่โคตร ถึงจะเก่าจะโทรม แต่มี Terminal เป็นของตัวเองมันก็เท่อยู่ดี
  • การเดินทางเข้าเมืองผมใช้บริการของ AeroBus ซึ่งก็ถูกดี ผู้ใหญ่ 8 RM เด็ก 4 RM ใช้เวลาเดินทางประมาณชั่วโมงนิดๆ ถ้าจองพร้อมตั๋วเครื่องบินเลยน่าจะแพงกว่านี้
  • ผมเลือกเที่ยวใน Kuala lumper ที่เดียว เพราะเด็กไปด้วย เที่ยวแบบเร็วๆ ไม่ได้ แถมคุณเมียก็แวะช๊อปปิ้งบ่อยอีก
  • คนที่นี่มีหลายศาสนา หลักๆ จะเป็นมุสลิม อันนี้เรารู้กันอยู่แล้ว แล้วก็มีคนจีนเล็กน้อย ประเทศเดียวที่ไม่มีคนจีนคงเป็นเอธิโอเปีย :P
  • ค่าใช้จ่ายในการเดินทางดูแล้วถูกกว่าบ้านเรา รถไฟฟ้าเริ่มต้นที่ 1 RM ประมาณ 10 บาทซึ่งบ้านเราคงหาไม่ได้
  • ไปไหนมาไหนคนจะชอบคิดว่าผมเป็นฟิลิปปิน ก็ไม่ได้ถามว่าเพราะอะไร
  • ข้าวของราคาใกล้เคียงกับบ้านเรา แต่อาหารจะแพงกว่าหน่อย เรียกว่าเที่ยวแล้วค่อนข้างอุ่นใจกับกระเป๋าเงิน
  • น้ำอัดลมราคาแปรผันดี มีตั้งแต่กระป๋องละ 1 RM ไปจนถึงกระป๋องละ 3.50 RM ซึ่งถ้าเป็นบ้านเราราคามันมักจะใกล้กันหมด แต่ที่นี่จะซื้อของต้องเลือกร้าน เพราะบางทีราคามันห่างกันแบบโหดๆ เลย
  • คนที่นี่นิยมใช้ Galaxy Note
  • สินค้า IT ไม่ถูกกว่าบ้านเราเยอะนัก มีบางอย่างถูกกว่ามากก็มี แต่เป็นส่วนน้อย พวกมือถือ Tablet นี่ห่างกันไม่เกิน 5% เลยตัดสินใจไม่ซื้อ
  • กระเบื้องปูพื้นทางเดินของคนตาบอดที่นี่เขาทำแล้วได้ใช้จริง ขนาดพื้นที่ที่เป็นทางเดินชั่วคราวเขายังวางทางเดินคนตาบอดไว้ให้ มีทีนีงผมเดินดูแผนที่อยู่ เกือบโดนคนตาบอดวิ่งชน คือ แกเอาไม้เท้าถูนำหน้าไปกับพื้น ส่วนเท้าแกก็วิ่งบนแผ่นกระเบื้องไป ประทับใจมาก
  • รถส่วนใหญ่จะใช้เป็น Proton กัน ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจ
  • รถเมลจะเป็นรถแอร์หมดสภาพค่อนข้างดี ส่วน Taxi จะค่อนข้างเก่า
  • อาหารที่นี่รสชาดใช้ได้ น่าจะถูกปากคนไทยอยู่
  • ตึกแฝดไม่ได้ขึ้น เพราะตอนไปตั๋วของวันนั้นขายหมดแล้ว
  • ภาษาหลักที่นี่จะเป็นภาษามาเล มีจีนบ้างตามจำนวนประชากรที่น่าจะเยอะอยู่ (ระยะยาวน่าจะโดนจีนกลืนแล้วกลายเป็นแบบสิงคโปร์ แต่ก็ขึ้นกับภาคการเมืองอีก) ส่วนการใช้ภาษาอังกฤษจะเหมือนเป็นเรื่องปกติของที่นี่ แต่สำเนียงก็โคตรฟังไม่รู้เรื่อง คือ พูดกับคนที่นี่ จากที่ไม่คล่องอยู่แล้วเลยใบ้ไปเลย เพราะเขาจะรู้สักว่า ก็กูพูดอังกฤษแล้วไง แต่เขาจะเผลอพูดด้วยสำเนียงที่คนบ้านเขาฟังกันรู้เรื่อง ก็เลยพูดด้วยสำเนียงเขาด้วย และพูดเร็วด้วย พอรวมกันแล้วเลยกลายเป็น กูไม่รู้เรื่อง
  • ภาษาเขียนจะใช้ตัวอักษร Latin เวลาอ่านอะไรจะต้องคิดก่อนว่า ไอ้ที่เขียนน่ะ มันเขียนภาษาอะไร คือ มันจะเผลออ่าน แล้วพออ่านไปสักพักก็ อ้าว ไม่ใช่ภาษาอังกฤษนี่หว่า
  • แลกเงินเจ็บใจมาก แลกที่สนามบินสุวรรณภูมิ ที่ 10.73 THB = 1 RM แต่ที่ในมาเล ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 10.10 THB = 1 RM ส่วนที่ต่ำสุดที่เห็นจะอยู่ที่ 10.05 THB = 1 RM
  • มีที่ที่ยังไม่ได้ไปอีกหลายที่ เช่น Mid valle, Putrajaya, One Utama, Sunway
  • ได้นั่งรถโดยสารเกือบครบทุกอย่างล่ะ เหลือแค่ KLIA Express ที่อยู่นอกเส้นทาง
  • คนที่นี่สูบบุหรี่เยอะมาก
  • ผู้ชายจะลุกให้ เด็ก คนท้อง คนแก่ เหมือนบ้านเรา
  • เวลาเป็น GMT +8 แต่เมือง Kuala lumper จะอยู่ตรงกับกรุงเทพ จริงๆ อยู่ค่อนมาทางตกวันตกของกรุงเทพด้วยซ้ำ ดังนั้น 7 โมงเช้าของเขาเลยยังมืดๆ อยู่เลย ก็เลยงงๆ กับเวลานิดนึง แต่ก็เข้าใจเพราะแต่เดิมมาเลมันอยู่ฝั่งอินโดอย่างเดียว แล้วด้าน Kuala lumper เพิ่งได้จากพื้นที่ของประเทศไทยไป พอใช้เวลา +8 แบบฝั่งเดี่ยวกับของทางอินโด แต่แนวพระอาทิตย์ตรงกับกรุงเทพเลยแปลกๆ
  • มือถือ Android ฉลาดดี ขนาดไม่ได้ต่อเน็ต ไม่ได้เปิด GPS แต่มันปรับค่าเวลาให้ผมเองอัตโนมัติ เข้าใจว่าเอาค่ามาจากผู้ให้บริการมือถือที่มัน Roaming ไป
  • แบงก์ใหญ่สุดจะเป็นแบงก์ 50 RM แบงก์เล็กสุดเป็น 1 RM ส่วนเหรียญเล็กสุดเป็น 5 sen จะเท่ากับ 50 สตางค์ เหรียญใหญ่สุดเป็น 50 sen เท่ากับ 5 บาท
  • ข้าวของเวลาซื้อราคาเขาจะลงถึงระดับ 10 sen เช่น น้ำแก้วละ 1.40 RM จะเท่ากับ 14 บาท ซึ่งบ้านเราถ้า 14 บาท ก็จะขายกัน 15 บาทไปเลย ซึ่งอันนี้เป็นอะไรที่ค่อนข้างน่าอิจฉา
ยัดอัลบั้มไว้ก่อน ถ้าขยันจะเขียนเล่าเป็น Blog entry ใหม่ละกันนะ



ค่าใช้จ่าย

ผมค่อนข้างสนุกกับการบริหารรายรับรายจ่าย รู้สึกเหมือนเล่นเกมดี ดังนั้นโจทย์ของทริปนี้ก็เลยออกมาว่าต้องถูก (ประจำอ่ะ) คือ ถูกอย่างเหมาะสมด้วย

แลกเงินไปที่ 8,000 บาท อัตราแลกเปลี่ยนที่ 10.73 บาท = 1 RM จริงๆ ให้เมียไว้ 10,000 แต่แลกมาเท่านี้ ซึ่งก็ดีแล้ว เพราะถ้าเหลือเยอะเกินไปตอนแลกคืนก็เจอส่วนต่างอีก

ค่าใช้จ่ายก็ออกมาประมาณนี้

ค่าใช้จ่ายที่ไทย

  • เครื่องบิน 8,000 บาท
  • ทำพาสปอร์ตเพิ่ม 2 เล่ม 2,000 บาท
  • Taxi ไปกลับสนามบิน ประมาณ 750 บาท
  • กินข้าวบนเครื่องบิน 190 บาท


ค่าใช้จ่ายที่มาเล แยกตามหมวดแบบคร่าวๆ

  • ที่พัก 5,296.27 บาท
  • กิน 278 RM
  • กิน 242.10 บาท (Groupon Deal)
  • เดินทาง 105.3 RM
  • ช๊อปปิ้ง 479.85 RM
  • อื่นๆ ไม่เข้าพวก 3.4 RM


รวมแล้วเป็นอันว่า หมดไปทั้งสิ้น 26,000 บาท โดยประมาณ ถือว่าใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้มาก ถ้าตัดของช๊อปปิ้งออกไปจะอยู่ที่ประมาณ 20,000 บาท ซึ่งถือว่าโอเคมากเลย ไม่รู้ว่าโดยทั่วไปแล้วเขาไปมาเลกันที่กี่ตังค์

ไว้คราวหน้ามีโปรราคาถูกค่อยจัดอีก