30/7/58

My dad gone

ครับ พ่อผมตายแล้ว หรือจะเรียกเสีย หรือจะเรียกอะไรก็แล้วแต่ แต่ก็คือตายแล้วนั่นล่ะ

พ่อผมตายอายุน้อยมาก เพิ่งจะ 60 กลางๆ เอง จำไม่ได้ว่า 65 หรือ 67 แกเสียเมื่อวาน (29 ก.ค. 58) ที่โรงพยาบาลรามา สาเหตุการเสียชีวิตระบุว่า หัวใจวาย พ่อผมเป็นคนโรคเยอะ เนื่องจากกินเหล้าและสูบบุหรี่มาก ที่แย่เข้าไปใหญ่คือ แกไม่ค่อยดูแลตัวเอง แล้วก็เป็นคนไม่หาหมอ และไม่เชื่อหมอ ผมว่าอย่างหลังนี่อันตรายกว่าการกินเหล้าสูบบุหรี่อีกนะ :P

พ่อไปแล้ว แต่ผมไม่ค่อยรู้สึกอะไรเท่าไหร่ ก็รู้สึกเหมือนว่ามันก็คือวันปกติวันหนึ่ง ส่วนหนึ่งน่าจะเพราะแม่ยังอยู่ ก็เลยไม่ได้รู้สึกเคว้งอะไร คือ ยังมีที่พึ่งอยู่ และที่เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผมไม่ค่อยรู้สึกอะไรก็น่าจะเป็นเพราะพ่อกับผมนั้นไม่ค่อยได้มีปฏิสัมพันธ์อะไรกันมากนัก คือ แต่ละวันจะคุยกันก็แทบนับคำได้ เรียกได้ว่าแกแทบไม่มีตัวตนในชีวิตผมเลยก็ได้

พ่อตายแล้วดีมั้ย ? ก็ดีตรงที่แกไม่ต้องทรมานกับโรคอีก แม่ผมก็ได้ผ่อนคลายจากการดูแลพ่อลงไป แต่จริงๆ แล้วถ้าหายป่วยก็น่าจะดีกว่า :P แต่ด้วยความดื้อของคนป่วยก็ดูแล้วว่าไม่มีทางหายแหละนะ

อาจจะดูใจร้าย แต่สิ่งเดียวที่ผมนึกออกว่าจะต้องเสียไปจากการจากไปของพ่อก็คือ บำนาญในแต่ละเดือนที่แกได้รับ แน่นอนมันฟังดูเป็นความคิดที่แย่และเลวมาก แต่ผมก็นึกอย่างอื่นไม่ออกจริงๆ ว่าจะมีอะไรให้เสียไปมากกว่านั้น แต่ถ้าจะต้องให้พ่อนอนพะงาบอยู่โรงพยาบาลเพื่อแลกกับบำนาญที่ได้รับแล้ว ไม่คุ้มหรอก หลับให้สบายเสียยังไงก็ดีกว่า

ผมไม่สนิทกับพ่อ หรือจะเรียกว่าแทบไม่รู้จักกันเลย (แม้จะอยู่บ้านเดียวกัน) ก็ตาม แต่พ่อผมก็เป็นแรงบันดาลใจ และเป็นผู้ที่มีผลต่อวิถีการใช้ชีวิตของผมเป็นอย่างมาก

ผมไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่
ผมให้ความสำคัญกับครอบครัวเป็นอันดับแรก
เพื่อครอบครัวแล้ว ผมเลิกคบเพื่อน หรือเบือนหน้าหนีออกมาจากสังคมไหนๆ ก็ได้
ผมรู้ว่าครอบครัวต้องการอะไร
ผมรู้ว่าลูกต้องการพ่อแบบไหน
ผมรู้ว่าควรปฏิบัติตัวต่อผู้อื่นอย่างไร
ผมรู้ว่าความฝันของลูกนั้นสำคัญที่สุดในชีวิตของความเป็นพ่อแม่ และมันเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบ ที่เราจะพาลูกไปให้ถึงฝัน
การไม่ช่วยลูกทำตามความฝันว่าแย่แล้ว แต่การยัดเยียดความฝัยของเราให้ลูกรับผิดชอบกลับเลวร้ายยิ่งกว่า
ผมเห็นสังคมทหาร และวิถีชีวิต และวิธีคิดของทหารมาตั้งแต่เกิด และนั้นทำให้ผมปฏิเสธการเป็นทหารอย่างรุนแรง แม้ว่าทหารที่เข้าท่าจะมีอยู่บ้าง แต่ไอ้ที่ไม่เข้าท่าน่ะ เยอะมาก

ถึงผมจะไม่ค่อยได้พูดคุยอะไรกับพ่อมากนั้น แต่การที่ผมโตมาเป็นแบบนี้ได้ ก็คงต้องขอบคุณพ่อแหล่ะมั้ง

พ่อไม่อยู่แล้ว มีความฝันอีกหลายอย่างที่ผมจะทำได้ โดยไม่มีใครขัดแล้ว อย่างแรกปลายปีคงได้พาแม่ไปสิงคโปร์ (ถ้าพ่ออยู่แม่ก็ไม่ได้ไป) แล้วก็ผมอยากพาแม่ไปดูหิมะ คงได้หาโอกาสได้สักที แล้วช่วงหยุดยาวก็คงพาแม่ไปเที่ยวต่างจังหวัดได้แบบสบายๆ โดยที่พ่อไม่ต้องหอบเพื่อนไปให้แม่ต้องคอยรับใช้ :P เหมือนว่าผมจะดีใจเสียมากกว่าที่พ่อไม่อยู่แล้วนะเนี่ย T T แต่เอาเถอะ ในเมื่อมันเป็นความรู้สึกของเรา แล้วเราจะต้องไปโกหกตัวเองทำไม

อ่อ ตอนไปเซ็นทำเรื่องใบมรณะบัตร พบว่า ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่มีอายุอยู่ในช่วง 50 - 70 ปี ซึ่งอายุน้อยมาก แถมตอนทำเรื่องยังโดนพยาบาลตำหนิเล็กๆ เพราะผมทำอะไรไม่ค่อยถูก ไม่รู้ว่าต้องทำอะไรยังไง แหม่ อยากจะบอกพยาบาลจังว่า พ่อกูตายครั้งแรกเว้ย ยังไม่เคยมีประสบการณ์

ไม่มีความคิดเห็น: