ครับ พ่อผมตายแล้ว หรือจะเรียกเสีย หรือจะเรียกอะไรก็แล้วแต่ แต่ก็คือตายแล้วนั่นล่ะ
พ่อผมตายอายุน้อยมาก เพิ่งจะ 60 กลางๆ เอง จำไม่ได้ว่า 65 หรือ 67 แกเสียเมื่อวาน (29 ก.ค. 58) ที่โรงพยาบาลรามา สาเหตุการเสียชีวิตระบุว่า หัวใจวาย พ่อผมเป็นคนโรคเยอะ เนื่องจากกินเหล้าและสูบบุหรี่มาก ที่แย่เข้าไปใหญ่คือ แกไม่ค่อยดูแลตัวเอง แล้วก็เป็นคนไม่หาหมอ และไม่เชื่อหมอ ผมว่าอย่างหลังนี่อันตรายกว่าการกินเหล้าสูบบุหรี่อีกนะ :P
พ่อไปแล้ว แต่ผมไม่ค่อยรู้สึกอะไรเท่าไหร่ ก็รู้สึกเหมือนว่ามันก็คือวันปกติวันหนึ่ง ส่วนหนึ่งน่าจะเพราะแม่ยังอยู่ ก็เลยไม่ได้รู้สึกเคว้งอะไร คือ ยังมีที่พึ่งอยู่ และที่เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผมไม่ค่อยรู้สึกอะไรก็น่าจะเป็นเพราะพ่อกับผมนั้นไม่ค่อยได้มีปฏิสัมพันธ์อะไรกันมากนัก คือ แต่ละวันจะคุยกันก็แทบนับคำได้ เรียกได้ว่าแกแทบไม่มีตัวตนในชีวิตผมเลยก็ได้
พ่อตายแล้วดีมั้ย ? ก็ดีตรงที่แกไม่ต้องทรมานกับโรคอีก แม่ผมก็ได้ผ่อนคลายจากการดูแลพ่อลงไป แต่จริงๆ แล้วถ้าหายป่วยก็น่าจะดีกว่า :P แต่ด้วยความดื้อของคนป่วยก็ดูแล้วว่าไม่มีทางหายแหละนะ
อาจจะดูใจร้าย แต่สิ่งเดียวที่ผมนึกออกว่าจะต้องเสียไปจากการจากไปของพ่อก็คือ บำนาญในแต่ละเดือนที่แกได้รับ แน่นอนมันฟังดูเป็นความคิดที่แย่และเลวมาก แต่ผมก็นึกอย่างอื่นไม่ออกจริงๆ ว่าจะมีอะไรให้เสียไปมากกว่านั้น แต่ถ้าจะต้องให้พ่อนอนพะงาบอยู่โรงพยาบาลเพื่อแลกกับบำนาญที่ได้รับแล้ว ไม่คุ้มหรอก หลับให้สบายเสียยังไงก็ดีกว่า
ผมไม่สนิทกับพ่อ หรือจะเรียกว่าแทบไม่รู้จักกันเลย (แม้จะอยู่บ้านเดียวกัน) ก็ตาม แต่พ่อผมก็เป็นแรงบันดาลใจ และเป็นผู้ที่มีผลต่อวิถีการใช้ชีวิตของผมเป็นอย่างมาก
ผมไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่
ผมให้ความสำคัญกับครอบครัวเป็นอันดับแรก
เพื่อครอบครัวแล้ว ผมเลิกคบเพื่อน หรือเบือนหน้าหนีออกมาจากสังคมไหนๆ ก็ได้
ผมรู้ว่าครอบครัวต้องการอะไร
ผมรู้ว่าลูกต้องการพ่อแบบไหน
ผมรู้ว่าควรปฏิบัติตัวต่อผู้อื่นอย่างไร
ผมรู้ว่าความฝันของลูกนั้นสำคัญที่สุดในชีวิตของความเป็นพ่อแม่ และมันเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบ ที่เราจะพาลูกไปให้ถึงฝัน
การไม่ช่วยลูกทำตามความฝันว่าแย่แล้ว แต่การยัดเยียดความฝัยของเราให้ลูกรับผิดชอบกลับเลวร้ายยิ่งกว่า
ผมเห็นสังคมทหาร และวิถีชีวิต และวิธีคิดของทหารมาตั้งแต่เกิด และนั้นทำให้ผมปฏิเสธการเป็นทหารอย่างรุนแรง แม้ว่าทหารที่เข้าท่าจะมีอยู่บ้าง แต่ไอ้ที่ไม่เข้าท่าน่ะ เยอะมาก
ถึงผมจะไม่ค่อยได้พูดคุยอะไรกับพ่อมากนั้น แต่การที่ผมโตมาเป็นแบบนี้ได้ ก็คงต้องขอบคุณพ่อแหล่ะมั้ง
พ่อไม่อยู่แล้ว มีความฝันอีกหลายอย่างที่ผมจะทำได้ โดยไม่มีใครขัดแล้ว อย่างแรกปลายปีคงได้พาแม่ไปสิงคโปร์ (ถ้าพ่ออยู่แม่ก็ไม่ได้ไป) แล้วก็ผมอยากพาแม่ไปดูหิมะ คงได้หาโอกาสได้สักที แล้วช่วงหยุดยาวก็คงพาแม่ไปเที่ยวต่างจังหวัดได้แบบสบายๆ โดยที่พ่อไม่ต้องหอบเพื่อนไปให้แม่ต้องคอยรับใช้ :P เหมือนว่าผมจะดีใจเสียมากกว่าที่พ่อไม่อยู่แล้วนะเนี่ย T T แต่เอาเถอะ ในเมื่อมันเป็นความรู้สึกของเรา แล้วเราจะต้องไปโกหกตัวเองทำไม
อ่อ ตอนไปเซ็นทำเรื่องใบมรณะบัตร พบว่า ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่มีอายุอยู่ในช่วง 50 - 70 ปี ซึ่งอายุน้อยมาก แถมตอนทำเรื่องยังโดนพยาบาลตำหนิเล็กๆ เพราะผมทำอะไรไม่ค่อยถูก ไม่รู้ว่าต้องทำอะไรยังไง แหม่ อยากจะบอกพยาบาลจังว่า พ่อกูตายครั้งแรกเว้ย ยังไม่เคยมีประสบการณ์
30/7/58
28/7/58
New device New lifestyle
สืบเนื่องจากบล็อกที่แล้ว ผมตัดขาดจากโลกโซเชียลทั้งหมด และเพื่อความปลอดภัย ผมตัดสินใจกลับมาใช้ Feature phone ดังนั้น ตามที่คาดเดาว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงกับชีวิตผมบ้าง ก็คงจะตามนี้
ก็ยังเป็นแค่แผน เพราะวันนี้เพิ่งเริ่มใช้ Feature phone เป็นวันแรก (เอาเครื่องเก่าของเมียมาใช้ เป็น LG รุ่นอะไรก็ไม่รู้) เดี๋ยวรอดูว่าต่อๆ ไปจะเป็นยังไง
- แปลนมือถือคงเปลี่ยนกลับมาเป็นเติมเงิน เพราะไม่ได้ใช้เน็ตแล้ว
- มือถือคงซื้อเป็น Java phone เพราะอย่างน้อย อยากให้มัน Sync contact จาก Google มาได้
- ไม่แน่ใจว่าจะต้องพกกล้อง Compact มั้ย หรือถ้าหา Java phone ที่ถ่ายรูปดีๆ หน่อยได้ก็จะดี
- ซื้อ 3DS เล่น เพราะไม่มีเกมมือถือเล่นแล้ว
- คงต้องวางแผนอะไรมากขึ้น เพราะไม่มี Smart phone เป็นผู้ช่วยหลักแล้ว
- อดใช้ Misfit ด้วย เพราะไม่มีเครื่องให้ Sync เดี๋ยวคงยกให้น้องแทน
ก็ยังเป็นแค่แผน เพราะวันนี้เพิ่งเริ่มใช้ Feature phone เป็นวันแรก (เอาเครื่องเก่าของเมียมาใช้ เป็น LG รุ่นอะไรก็ไม่รู้) เดี๋ยวรอดูว่าต่อๆ ไปจะเป็นยังไง
Good bye social
ลาก่อนโลกโซเชี่ยล
เมื่อวานโดนเมียซักมาทางไลน์ ว่าเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งใน FB นั้นคือใคร ก็แน่นอน ประมาณว่าหึงแหล่ะ (แล้วถ้าคุณรู้ว่าคุณเพื่อนผู้หญิงใน FB คนนั้นคือใคร บอกได้เลยว่าคุณจะฮามาก) และด้วยความที่ผมยังไม่หายดีจากโรคซึมเศร้า (หมอบอกว่า ผมมีอาการเป็นเรื้อรัง แต่โชคยังดีที่ผมยังไม่ถึงขั้นไบโพล่า หมอว่างั้น)
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมโดนเมียจับผิดในเรื่องอะไรประมาณนี้ และหลายๆ ท่านก็น่าจะมีความเห็นว่า "มึงน่าจะชินได้แล้วนะ" และที่เมียมักจะให้เหตุผลเสมอก็คือ "ก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย ก็แค่ถาม" แต่ก็นั่นแหล่ะ คุณสามีย่อมรู้ดีว่าคำถามแบบนี้มันสร้างความรู้สึกอย่างไรให้ และแน่นอนว่า กับคนที่มีอาการซึมเศร้านั้น มันเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย
อย่างที่บอกว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรก และเช่นกัน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมหวังว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้าย ทุกครั้งที่เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นและเหมือนว่าจะคุยกับคุณเมียได้รู้เรื่องแล้ว และเราก็คาดหวังว่า "เอาน่า เมียเข้าใจแล้ว มันจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกแล้วล่ะ" แต่แน่นอนว่ามันไม่ใช่แบบนั้น
ก่อนนี้ผมเองก็ถอยมาเยอะแล้ว ผมหายตัวออกไปจากโลกชุมชน ผมไม่โผล่ไปงานรวมตัวใดๆ ทั้งสิ้น ทั้ง Meetup และสัมมนาต่างๆ (ยกเว้นที่จัดโดยออฟฟิศซึ่งต้องไป) เมื่อถอยออกจาก Physical world แล้วยังไม่ปลอดภัยพอ ก็ถึงคราวของ Digital world บ้าง
หลายคนบอกว่า การเอาตัวออกจากสังคมจะยิ่งอันตรายสำหรับคนเป็นซึมเศร้า เพราะอาการมันจะยิ่งทรุดลง แต่ก็นั่นแหล่ะ จะให้ทำยังไง ในเมื่อหันหน้าไปทางไหนมันก็อันตรายอยู่ดี ดังนั้น ผมก็ต้องเลือกทางที่อันตรายน้อยสุด หมอบอกว่า อาการของผมเรียกว่าเป็นการเข้ามุม ก็ได้แต่หวังว่าาสักวันเมียจะเลิกต้อนผมเข้ามุมเสียที ฮาาา
เพื่อป้องกันความเสี่ยง และมุ่งหน้าสู่การแก่ตาย (ถือเป็นเป้าหมายใหม่ของผมเลย ต้องอยู่ไปจนแก่ตาย) ผมจึงจำเป็นต้องทำอะไรสักอย่างกับชีวิตในโลกโซเชียลของผม เผื่อไม่ให้ผมต้องตกอยู่ในภาวะเสี่ยง (ที่จะไม่ได้แก่ตาย ฮาาาา) อีก ผมเลยคิดว่าจะลบ Account FB ทิ้งซะ แต่ชั่งใจอยู่ไม่นานนัก ก็คิดได้ว่า ลบทิ้งไม่ได้ เพราะบัญชีหลายอย่างผูกกับ FB อยู่ อย่างน้อยๆ ก็ด่านใน Candy crush ล่ะ :P ก็เลยไปจบที่ลบเพื่อนทั้งหมดแทน ตอนนี้ใน FB ผมเหลือแค่พอดีกับพอเพียงเป็นเพื่อน แล้วใน Twitter ก็ Unfollow เกลี้ยงเลย เพื่อให้ไม่ต้องโดนเมียยิงคำถามอีกต่อไป
ผมจะเสียอะไรบ้าง
แน่นอน สถานะทางสังคม เหมือนกับที่สุกรีหายไปจากโลกนี้ ผมก็สุกรี2 นี่ล่ะ ที่จะหายไป, การงาน และคอนเนคชั่นที่จะหายไป แต่มันจะไปสำคัญอะไร ในเมื่อสิ่งที่ผมได้มาคือชีวิตทั้งชีวิต สิ่งที่ทำมันก็แค่ เอาสถานะทางสังคมมาแลกกับความสุขของครอบครัว มันคุ้มค่าเห็นๆ
ตอนนี้ที่ยังเหลือก็คือ Google+ และเพื่อความปลอดภัย ผมคงต้องไล่ลบเพื่อนไปเรื่อยๆ :P
ลาก่อนโลกโซเชียล
ปล.ทั้งหมดนี้ไม่ได้อยากจะตำหนิเมียหรือจะขอความเห็นใจจากใคร ก็แค่อยากทิ้งเรื่องราวไว้ เผื่อว่ามันจะเป็นประโยชน์กับใครแม้สักคน
ปล2. เมื่อเช้าเห็นข่าวพี่เทือกสึกแล้ว กับอีกข่าว ท่านประยุทธ์ปลดล๊อก ให้เอานักการเมืองเข้ามาทำงานบริหารได้ แหม่ ช่างอยากคุยกับเพื่อนคอการเมืองแท้ แต่ก็ต้องตัดไป รักษาชีวิตรอดเป็นสำคัญ :)
ปล3. ลาก่อน ความหวังที่อยากจะได้ Android One, Moto G, Nexus phone #ร้องไห้หนักมาก
เมื่อวานโดนเมียซักมาทางไลน์ ว่าเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งใน FB นั้นคือใคร ก็แน่นอน ประมาณว่าหึงแหล่ะ (แล้วถ้าคุณรู้ว่าคุณเพื่อนผู้หญิงใน FB คนนั้นคือใคร บอกได้เลยว่าคุณจะฮามาก) และด้วยความที่ผมยังไม่หายดีจากโรคซึมเศร้า (หมอบอกว่า ผมมีอาการเป็นเรื้อรัง แต่โชคยังดีที่ผมยังไม่ถึงขั้นไบโพล่า หมอว่างั้น)
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมโดนเมียจับผิดในเรื่องอะไรประมาณนี้ และหลายๆ ท่านก็น่าจะมีความเห็นว่า "มึงน่าจะชินได้แล้วนะ" และที่เมียมักจะให้เหตุผลเสมอก็คือ "ก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย ก็แค่ถาม" แต่ก็นั่นแหล่ะ คุณสามีย่อมรู้ดีว่าคำถามแบบนี้มันสร้างความรู้สึกอย่างไรให้ และแน่นอนว่า กับคนที่มีอาการซึมเศร้านั้น มันเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย
อย่างที่บอกว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรก และเช่นกัน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมหวังว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้าย ทุกครั้งที่เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นและเหมือนว่าจะคุยกับคุณเมียได้รู้เรื่องแล้ว และเราก็คาดหวังว่า "เอาน่า เมียเข้าใจแล้ว มันจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกแล้วล่ะ" แต่แน่นอนว่ามันไม่ใช่แบบนั้น
ก่อนนี้ผมเองก็ถอยมาเยอะแล้ว ผมหายตัวออกไปจากโลกชุมชน ผมไม่โผล่ไปงานรวมตัวใดๆ ทั้งสิ้น ทั้ง Meetup และสัมมนาต่างๆ (ยกเว้นที่จัดโดยออฟฟิศซึ่งต้องไป) เมื่อถอยออกจาก Physical world แล้วยังไม่ปลอดภัยพอ ก็ถึงคราวของ Digital world บ้าง
หลายคนบอกว่า การเอาตัวออกจากสังคมจะยิ่งอันตรายสำหรับคนเป็นซึมเศร้า เพราะอาการมันจะยิ่งทรุดลง แต่ก็นั่นแหล่ะ จะให้ทำยังไง ในเมื่อหันหน้าไปทางไหนมันก็อันตรายอยู่ดี ดังนั้น ผมก็ต้องเลือกทางที่อันตรายน้อยสุด หมอบอกว่า อาการของผมเรียกว่าเป็นการเข้ามุม ก็ได้แต่หวังว่าาสักวันเมียจะเลิกต้อนผมเข้ามุมเสียที ฮาาา
เพื่อป้องกันความเสี่ยง และมุ่งหน้าสู่การแก่ตาย (ถือเป็นเป้าหมายใหม่ของผมเลย ต้องอยู่ไปจนแก่ตาย) ผมจึงจำเป็นต้องทำอะไรสักอย่างกับชีวิตในโลกโซเชียลของผม เผื่อไม่ให้ผมต้องตกอยู่ในภาวะเสี่ยง (ที่จะไม่ได้แก่ตาย ฮาาาา) อีก ผมเลยคิดว่าจะลบ Account FB ทิ้งซะ แต่ชั่งใจอยู่ไม่นานนัก ก็คิดได้ว่า ลบทิ้งไม่ได้ เพราะบัญชีหลายอย่างผูกกับ FB อยู่ อย่างน้อยๆ ก็ด่านใน Candy crush ล่ะ :P ก็เลยไปจบที่ลบเพื่อนทั้งหมดแทน ตอนนี้ใน FB ผมเหลือแค่พอดีกับพอเพียงเป็นเพื่อน แล้วใน Twitter ก็ Unfollow เกลี้ยงเลย เพื่อให้ไม่ต้องโดนเมียยิงคำถามอีกต่อไป
ผมจะเสียอะไรบ้าง
แน่นอน สถานะทางสังคม เหมือนกับที่สุกรีหายไปจากโลกนี้ ผมก็สุกรี2 นี่ล่ะ ที่จะหายไป, การงาน และคอนเนคชั่นที่จะหายไป แต่มันจะไปสำคัญอะไร ในเมื่อสิ่งที่ผมได้มาคือชีวิตทั้งชีวิต สิ่งที่ทำมันก็แค่ เอาสถานะทางสังคมมาแลกกับความสุขของครอบครัว มันคุ้มค่าเห็นๆ
ตอนนี้ที่ยังเหลือก็คือ Google+ และเพื่อความปลอดภัย ผมคงต้องไล่ลบเพื่อนไปเรื่อยๆ :P
ลาก่อนโลกโซเชียล
ปล.ทั้งหมดนี้ไม่ได้อยากจะตำหนิเมียหรือจะขอความเห็นใจจากใคร ก็แค่อยากทิ้งเรื่องราวไว้ เผื่อว่ามันจะเป็นประโยชน์กับใครแม้สักคน
ปล2. เมื่อเช้าเห็นข่าวพี่เทือกสึกแล้ว กับอีกข่าว ท่านประยุทธ์ปลดล๊อก ให้เอานักการเมืองเข้ามาทำงานบริหารได้ แหม่ ช่างอยากคุยกับเพื่อนคอการเมืองแท้ แต่ก็ต้องตัดไป รักษาชีวิตรอดเป็นสำคัญ :)
ปล3. ลาก่อน ความหวังที่อยากจะได้ Android One, Moto G, Nexus phone #ร้องไห้หนักมาก
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)