21/12/55

Lego mindstorm, basic programming


ช่วง 2 - 3 ปีมานี้ พอดีเริ่มติดเลโก้เอามาก ตอนเด็กๆ เริ่มจากชอบโธมัส (รถไฟที่มันพูดได้) แล้วพอโตหน่อยก็มาชอบเล่นเลโก้ ผมเลยพยายามหาของที่จะต่อยอดให้กับพอดี เลยเล็งเจ้าตัวเลโก้ชุด Mindstorm ไว้ แต่ไม่กล้าซื้อเพราะแพงมาก ในบ้านเราจะหาได้ตั้งแต่ราคา 15k - 19k (ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ราคา แต่กลัวว่าซื้อมาแล้วจะเล่นไม่คุ้ม) ช่วงสักสองปีก่อนเคยซื้อชุดประกอบหุ่นยนต์ของ i-Style มาให้ แต่เล่นไปได้แป๊บเดียวก็เลิก คือ พอดีชอบนะ แต่มันยากไปหน่อย (ชุดต่อมันตัวเล็ก นิ้วเด็กเลยจับไม่ถนัด) กอปรกับ มันเป็นชุดเรียนรู้เรื่องไฟฟ้า ซึ่งในตอนนั้นพอดี 8 ขวบเล่นแล้วไม่เข้าใจ มันเลยไม่สนุก (คือ ได้แค่ต่อตามแบบ) แล้วไอ้ผมจะสอนก็ไม่มีปัญญาเพราะไม่มีความรู้เลย

แผนการเรื่องหุ่นยนต์และ Mindstorm เลยพับเสื่อไปพักใหญ่ จนเมื่อช่วงต้นเดือน ธ.ค. (9 ธ.ค. 55) มีเหตุให้ต้องไปเป็นกรรมการตัดสินงานประกวดของเด็กประถม และมัธยมของ สพฐ. แล้วเขามีแข่งหุ่นยนต์กันด้วย เลยได้เอาเรื่องหุ่นยนต์กลับมาคิดใหม่

เนื่องจากผมไม่มีความรู้เรื่องหุ่นยนต์มาก่อนเลย นอกจากเคยเห็นเขาแข่งกันตามทีวี แล้วก็เห็นมีแข่งขันระหว่างประเทศเป็นระยะๆ ผมเลยลองหาข้อมูลเพิ่มเติม ก็เห็นมีชุดประกอบหุ่นขายอยู่ ตั้งแต่ 2500 ขึ้นไป มีทั้งที่เขียนภาษา Logo, Basic ไปจนถึงภาษา C ได้ แต่คิดว่าพอดีไม่น่าจะชอบ เพราะจริงๆ แล้วมันชอบเลโก้เป็นหลัก ดังนั้นถ้าจะให้ทำในสิ่งที่ชอบอยู่ มันก็คงต้องเป็น Mindstorm เท่านั้น

ตัว Lego mindstorm เป็นชุดหุ่นยนต์เลโก้ที่สามารถใส่โปรแกรมลงไปได้ โดยรองรับภาษา Logo และ C (เสียดายที่ไม่มีภาษา Basic) ในชุดจะมีเซ็นเซอร์ต่างๆ ให้เล่นได้ คือ เด็กจะสามารถประกอบหุ่นจากเลโก้ (ก็คือ จะรู้สึกว่าได้เล่นเลโก้อยู่) แล้วค่อยเขียนคำสั่งโหลดเข้าไปในตัวหุ่นเพื่อควบคุม ผมลองหาข้อมูลของที่อบรมโดยใช้ Mindstorm ปรากฏว่ามี (เสียดายที่ไม่ได้หาตั้งนาน คือ ไม่นึกว่ามันจะมี) ก็เลยพาพอดีไปทดลองเรียนดู

ก็คุยกับพอดีว่า จะพาไปทดลองเรียน พอดีก็เปรยๆ ว่า ไม่เอาที่ต้องใช้คอมนะ ไม่อยากทำในคอม (คือ เหมือนจะเป็นเด็กที่ไม่ชอบคอมพิวเตอร์สักเท่าไหร่ แต่ก็ใช้คอมเป็นตามระดับของชั้นเรียนตามปกตินะ ไม่แน่ใจว่าสาเหตุมาจากอะไร แต่ผมก็ไม่เคยบังคับให้ต้องฝีกคอมหรือใช้คอมให้เป็นนะ) พอไปถึงที่เรียนก็ออกอาการชอบใจมาก คือ ประมาณว่าตื่นเต้น เพราะเป็นสิ่งที่ชอบอยู่แล้ว

อันนี้ภาพบรรยากาศของที่ไปทดลองเรียนมา ที่ robot4kid ประชาชื่น สถานที่พอใช้ได้ ชอบที่เด็กน้อย จะได้ไม่วุ่นวายมาก











หุ่นที่ทำออกมาเป็นหุ่นสั่งงานด้วยเสียง คือ ได้ยินเสียงก็เดิน พอได้ยินเสียงอีกครั้งก็หยุด เป็นหุ่นที่ทำตามแบบเฉยๆ แต่เห็นว่ามีโมดิฟายเพิ่มส่วนของแขนให้สามารถรับส่งของได้ด้วย

หลังจากทดลองเรียนแล้ว ผมพยายามหาข้อมูลของที่เรียนเพิ่มเติม เผื่อจะเจอถูกกว่า ปรากฏว่าไม่มี คือ ราคามันก็ใกล้ๆ กันหมด

อันนี้รายการของที่ที่เปิดสอน เท่าที่หามาได้

  • ictschool, http://www.ictschool.ac.th, 02-947-5752, แฟชั่นไอซ์แลนด์, 4000 / 5 ครั้ง / รวม 10 ชม., 400 บาท / ชม.
  • click robot, http://www.clickrobots.net, 089-482-8131, สาทร, ~4500 / 8 ครั้ง / รวม 16 ชม., ~281.25 บาท / ชม.
  • robot4kid, http://www.robot4kids.com, 089-140-5484, ประชาชื่น, ~7500 / 12 ครั้ง / รวม 24 ชม., ~312 บาท / ชม.
  • robot4kid, http://www.robot4kids.com, 089-1405484, Platinum place ซอย วัชรพล
  • imac, http://robo-mac.com/, http://imacsoroban.com, 081-713-8867, ลาดกระบัง
  • imac, http://robo-mac.com/, http://imacsoroban.com, 086-482-5633, 0-2539-9409, โชคชัย4

คิดว่าคงจบที่ robot4kid เพราะใกล้บ้านสุด

อีกโซลูชั่นนึงที่คิดไว้คือ ซื้อมาให้เล่นเอง เพราะเรียน 2 คอร์สก็แทบจะซื้อได้แล้ว แต่คิดไปคิดมาแล้ว ส่งไปเรียนดีกว่า เพราะ

  1. ผมเองก็ไม่มีความรู้มากนัก ถ้าผมเป็นคนสอนหลัก ก็จะไปได้ไม่ไกล
  2. ถ้าเรียนกับผมก็ดื้อได้อีก
  3. ไปเรียนที่ศูนย์อบรม ได้ความรู้และเทคนิคอื่นๆ
  4. ได้เก็งเผื่อส่งแข่งขันได้อีกด้วย คือ อยู่ในแวดวงจะได้รู้ข่าวสารกับเขา

จริงๆ ถ้าอยากจะสอนลูกหลานโดยให้เขียนภาษา Logo มันจะมีโปรแกรม Scratch ให้เล่น ประหยัดดี แต่เคยเอาให้เด็กๆ ที่บ้านเล่นแล้ว มันไม่ชอบกัน ก็เข้าใจอยู่ คือมันไม่ตื่นตาตื่นใจแหล่ะ

ตอนนี้ยังไม่ได้ส่งไปเรียน ตั้งใจว่าจะให้เริ่มเรียนเสาร์แรกหลังปีใหม่ แต่ไม่รู้จะได้ไม๊ เพราะก็มีอุปสรรคอยู่บ้าง :P

8/12/55

Life class

สืบเนื่องจาก ผมพยายามจะให้ลูกต้องใช้ความพยายามในการได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ คือ ไม่ใช่ว่าร้องแล้วก็ได้เลย (ซึ่งมีบางคนที่บ้านไม่เข้าใจ และมักทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม แต่อันนั้นเราจะยังไม่พูดถึง) ก่อนหน้านี้เด็กๆ เคยทำสร้อยข้อมือเอาไปขายที่ทำงาน (ซึ่งผมซื้อไว้ทั้งหมด เพราะของเด็กทำคงเอาไปขายใครไม่ได้) เด็กๆ ก็ดีใจว่าขายได้ จะได้เอาตังค์ไปซื้อของที่ต้องการได้ (ซึ่งก็มีคนที่บ้านไม่เข้าใจอีก พอได้ตังค์มาจะบังคับให้เก็บไว้ ไม่ให้ใช้ ซึ่งเด็กมันก็ไม่เกิดกำลังใจและแรงกระตุ้นสิครับ ซึ่งเราก็จะไม่พูดถึงในตอนนี้อีกอยู่ดี)

ประมาณเดือนที่แล้วเลยเกิดไอเดียว่า ชวนพอดีไปขายของที่ตลาดแถวบ้านดีกว่า คือ ให้เอาขางเล่นเก่าไปขาย เพื่อจะได้เอาตังค์มาซื้อกล่องใหม่ที่อยากได้

การขายของที่ตลาดได้ประโยชน์หลายอย่าง

  1. คิดเลขเก่ง หลายคนจะเห็นข้อดีที่ส่วนนี้ ซึ่งผมว่ามันไม่ใช่สาระ เพราะโตไปคนก็คิดเลขเก่งกันอยู่แล้ว
  2. กล้าที่จะพูดคุยกับคนแปลกหน้า (อันนี้ประเด็น)
  3. กล้านำเสนอสินค้า (อันนี้ประเด็น)
  4. รู้ที่จะตีมูลค่าสินค้า การประเมิน
  5. มีความอดทน (กว่าจะขายได้สักอัน)
  6. เรียนรู้ที่จะผิดหวัง (เลือกแล้วไม่ซื้อ)
  7. มีวินัย


ไปขายวันแรกพอดีสนุกมาก ขายได้นิดเดียว และพอดีก็ไม่ค่อยกล้าที่จะพูด

ส่วนอันนี้ขายครั้งที่ 4 ละ


พอเพียงตั้งเป็นร้านขายรูปวาด

พอเพียงตั้งร้านขายรูปวาด เนื่องจากชอบวาดรูป และผมเคยพาไปนั่งวาดรูปขายริมทางถนนคนเดินที่พัทยา ร้านของพอเพียงขายรูปไม่ได้เลย (ใครมันจะซื้อ) ผมกะว่าจะไปหากรอบรูปมาใส่ (คือ ขายกรอบรูปนั่นแหล่ะ) ให้พอเพียงคิดว่าขายได้

อันนี้ร้านของพอดี คือ คุณภริยาไปเอาของมาขายเพิ่ม

อันนี้ร้านของพอดี คือ คุณภริยาไปเอาของมาขายเพิ่ม ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่จุดประสงค์ของผม แต่ก็เอาเหอะ

ลีลาการขาย

กล่องนี้สนุกนะครับ

จัดของ จัดของ

ลูกค้ารายใหม่

ถือว่าเป็นกิจกรรมครอบครัวที่สนุกและได้ประโยชน์มาก ผมชอบที่จะทำอะไรแบบนี้มากกว่าที่จะส่งลูกไปเรียนพิเศษซึ่งผมว่ามันได้ความรู้ (ที่ไม่รู้จะได้ใช้เท่าไหร่) แต่มันไม่ได้ทักษะของการมีชีวิต

บทเรียนตลาดนัดพอดีได้อะไรมาค่อนข้างจะครบถ้วน ทั้งความอดทน ความผิดหวัง ความกล้า ยังขาดก็เรื่องของการบริหารจัดการ เพราะภริยาจะคุมเรื่องเงินทั้งหมด จริงๆ ผมอยากให้พอดีจัดการเอง ทั้งเรื่องราคา และสต๊อกสินค้า แต่คงยาก เพราะภริยาไม่ค่อยจะเห็นไปในทิศทางเดียวกับผม และมันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายๆ :P

อันนี้แถม พอดีเย็บกางเกงตูดขาดเอง ซาบซึ้ง น้ำตาไหล ยังไม่ได้ดูผลงาน แต่ถึงกับลงมือทำด้วยตัวเองโดยไม่เรียกร้องความช่วยเหลือจากใคร และไม่บ่นอะไร ผมว่านี่แหล่ะ คุณสมบัติของผู้ชาย แต่ปกติพอดีมันขี้โวยวายอ่ะนะ :P
 


จำนวนประชากรต้องควบคุม




สิ่งหนึ่งที่เคยคิดไว้คือ เรื่องความอดอยากและความลำบากของประชากรส่วนหนึ่ง (พูดถึงระดับโลกนะ ไม่ใช่ประเทศ) เท่าที่ดูส่วนใหญ่ประเทศที่ยากจน หรือมีความเป็นอยู่อย่างลำบาก มักจะเป็นประเทศที่ไม่มีการคุมกำเนิด หรือการคุมกำเนิดขัดกับความเชื่อ ศาสนา หรือวัฒนธรรมของถิ่นนั้นๆ การมีประชากรเกินกว่าทรัพยากรย่อมทำให้เกิดความขาดแคลน (แหงอยู่แล้ว) วิธีแก้มี 2 ทางคือ เพิ่มทรัพยากร หรือควบคุมจำนวนประชากร ในกรณีหลังคงใช้วิธีกำจัดทิ้งไม่ได้ ที่ทำได้คือ ต้องทำให้ค่อยๆ ลดลง ซึ่งก็คือการคุมกำเนิดนั่นเอง

ส่วนตัวแล้ว มองว่ายังไงเสียการแก้ปัญหาระยะยาวที่ถูกต้องก็ต้องใช้วิธีควบคุมจำนวนประชากร นอกจากเรื่องของการลดลงมาเพื่อให้สอดคล้องกับทรัพยากรแล้ว ยังควรที่จะลดลงเพื่อให้หุ่นยนต์เข้ามาแทนที่ด้วย อันนี้ลองมองจากประเทศของเรา ถ้าในหลายๆ ภาคธุรกิจเอาหุ่นยนต์มาใช้แทนคน คนคงตกงานเยอะมาก เช่น พนักงานธนาคาร (อันนี้จะค่อยๆ เห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ) คนเก็บเงินค่าทางด่วน เจ้าหน้าที่ภาครัฐในหลายส่วนงานโดยเฉพาะงานเดินเอกสาร ฯลฯ เราจะเห็นว่างานพวกนี้มันใช้หุ่นยนต์ทำได้ แต่ก็ไม่สามารถทำได้ในปัจจุบันเพราะถ้าคนตกงานเยอะคงแย่ ดังนั้น ถ้าลดประชากรลงได้ แล้วเอาหุ่นเข้ามาแทน ทรัพยากรก็จะมากพอสำหรับจำนวนของมนุษย์

เราจะลดประชากรยังไง

ขอเสนอนโยบาย คุมกำเนิดตั้งแต่เกิด ทุกคนถูกคุมกำเนิดชั่วคราวตั้งแต่เกิด และถ้าคุณอยากมีลูก คุณต้องหาเงินมาจ่ายให้รัฐในจำนวนหนึ่ง (แล้วแต่จะกำหนด) เพื่อให้ได้สิทธิ์ในการมีลูก และหนึ่งคนจะมีสิทธิ์มีลูกได้คนเดียว (หนึ่งคู่ = 2 คน) โดยต้องอิงตามเชื้อชาติและเศรษฐกิจด้วย เช่น คนอังกฤษต้องจ่ายแพงกว่าคนไทย ถ้าทุกคนจ่ายเท่ากันทั้งโลก (เหมือนซื้อ Windows) คนไทยคงได้สูยพันธุ์ สิ่งที่ต้องระวังคือ การลดจำนวนประชากรจะต้องค่อยๆ ลด แล้วค่อยๆ เอาหุ่นเข้ามาแทน เพราะถ้าอยู่ดีๆ ลดฮวบเลย พอเวลาผ่านไปคนสูงอายุจะเยอะเกินกว่าที่คนรุ่นหลังจะดูแลได้ไหว

ถ้าลดจำนวนประชากรได้ด้วยวิธีนี้ ในอนาคตก็จะไม่มีคนลำบากหรืออดอยากอีกเลย

#เพ้อเจ้อ

5/12/55

Happy daddy day


วันนี้เป็นวันหยุดวันหนึ่ง เป็นวันสบายๆ ที่ไม่ต้องไปทำงาน พ่อผมไม่สบายอยู่ ตจว. น้ำท่วมปอด (คนอื่นๆ วิเคราะห์ให้จากอาการ) เนื่องจากการเป็นสิงห์อมควัน และไม่ยอมไปหาหมอ ผมไม่ได้ขึ้นไปเยี่ยมพ่อ เพราะมันเหนื่อยเกินไปที่จะไป/กลับในวันเดียว และผมก็ไม่คุ้นเคยที่จะคุยกับพ่อสักเท่าไหร่ เพราะที่ผ่านมา (20 กว่าปี) พ่อผมให้ความสำคัญกับเพื่อนซะเป็นส่วนใหญ่ ผมเลยไม่ค่อยคุ้นเคยที่จะคุยกับพ่อนัก และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมไม่ค่อยสนใจจะเข้าสังคมกับเพื่อนฝูงสักเท่าไหร่ เพราะผมก็ไม่อยากจะให้ลูกๆ รู้สึกแปลกๆ หรือไม่คุ้นเคยที่จะเข้าหาผมในอนาคต แม้ว่าเขาจะอยาก :)

ผมไม่ได้รู้สึกอยากจะให้พ่อหายป่วยสักเท่าไหร่ ที่อยากจริงๆ คือ อยากให้หายจากความทรมาน (จากอาการป่วย) ไม่ใช่เพราะว่าเป็นพ่อผม แต่ผมไม่อยากให้ใครต้องทรมานเลยตะหาก คือ ถ้าตายก็ตาย ถ้าหายก็หาย แค่ไม่อยากให้ทรมาน :)

สุขสันต์วันพ่อครับ