จากบล๊อกของ khajochi แนะนำว่าคู่รักควรอ่านครับ โดยเฉพาะผู้หญิง แน่นอน สาวๆ ต้องบ่นว่า ทำไมต้องเป็นผู้หญิง ทีผู้ชายล่ะ bla bla bla ซึ่งอันนั้นเอาไว้ก่อนครับ เรามาลองแอบดูภริของ khajochi กันก่อน
ด้านล่างนี้ผมตัดมาจาก Blog ขิง khajochi เลยนะครับ
ไม่เปรียบแฟนกับผู้ชายอื่น (ว่าคนอื่นดีกว่า)
อันนี้สำคัญมากครับ ถ้าคุณจะเปรียบ คุณควรเปรียบกับคนที่แย่กว่า เช่น สามีฉันดีจังไม่เป็นแบบคนนั้น เพราะการให้กำลังใจแบบนี้ จะทำให้เขามีกำลังใจในการทำตัวให้ดีขึ้นกว่าเดิมครับ
ทุกครั้งที่นัดเจอกัน พอเชอรี่เห็นหน้าผม เธอจะยิ้มให้ก่อนทุกครั้ง ไม่ว่าผมจะเหนื่อย จะโทรม จะมาสาย แต่เธอก็จะยิ้มให้ก่อนเสมอ
ถ้าคุณให้อภัย คราวหลังเขาจะมาเร็วขึ้นครับ ถ้าเขามาสายแปลว่าต้องมีเหตุบางอย่าง หรือบางคนอาจมาสายเป็นสันดาน อันนั้นก็ว่ากันไป แต่ถ้าเขาไปสายแล้วคุณหน้าบึ้งใส่ คราวหน้าเขาจะสายขึ้นกว่าเดิมครับ เพราะถ้าเขาสายนิดนึง เขาจะกลัวคุณโกรธ เขาก็จะพาลโกหกไปเลยว่า ปวดท้อง รถเสีย ไปไม่ได้ เพื่อจะได้ไม่ต้องไปเห็นหน้าบูดๆ
เชอรี่ดูแลทุกอย่างที่เกี่ยวกับผม เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า อาหาร ยา ผลไม้ ขนม กาแฟ วิตามิน ฯลฯ
ผมไม่คิดว่าผู้ชายทุกคนจะต้องการการดูแลขนาดนั้นนะ คือ ถ้ามีก็เป็นของแถมไป แต่ผมเคยเจอพี่พนักงานขับรถที่ออฟฟิศชอบบ่นว่า เมียแกไม่ยอมซักผ้าด้วยมือ ชอบซักเครื่อง ไม่สะอาด อันนี้ก็น่าจะเกินไป
เวลาที่โกรธกันเชอรี่ไม่เคยโวยวาย ดุด่า งี่เง่า เอาแต่ใจ ... แต่เธอจะเงียบ และรอให้ทั้งสองคนใจเย็นๆ ค่อยหันกลับมาคุยกัน
อันนี้สำคัญมากครับ ผมว่าภริของ khajochi เกินมาตรฐานของผู้หญิงไปเลยล่ะ เพราะตามธรรมชาติของผู้หญิงแล้ว เวลามีปัญหาเธอจะต้องพูดครับ คือบ่น หรือด่า หรืออะไรก็แล้วแต่ เธอจะต้องพูดๆๆๆๆ มันออกมา พอพูดหมดแล้ว เธอจะสบายใจ (ส่วนผู้ชายจะเป็นยังไงก็อีกเรื่องนะ) การที่ khajochi ได้ภริที่เงียบเป็น ถือว่าเป็นของที่สวรรค์ประทานมาเลยครับ ส่วนผู้ชายที่ได้แฟนขี้โวย ชอบทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ก็ทำใจไปครับ แฟนของคุณเป็นไปตามธรรมชาติของเพศของเขาแล้ว
ผมเป็นคนขี้เซา(มาก) เชอรี่จะโทรปลุกผมทุกเช้า บางครั้งโทรเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น แต่เธอก็จะพยายามโทรต่อไปแม้จะต้องทำงานไปด้วย (สถิติสูงสุด 64 miss call)
โดยปกติ ถ้า 64 miss call น่าจะต้องโดนด่าครับ ว่าแอบไปทำอะไร อยู่กับใคร .... (ยาว) การที่ khajochi ได้ภริที่ไม่ด่า ก็ถือว่าสวรรค์ประทานครับ :)
ด้วยความเป็น Geek ผมก็มีเรื่องมากมายที่ผู้หญิงทั่วไปไม่เข้าใจ แต่เชอรี่พยายามที่จะเข้าใจ เธอพยายามเล่น Social, พยายามเขียนบล็อก, พยายามไปงาน Event ด้วยกัน แม้จะไม่รู้ว่านี่คืองานอะไร
ส่วนของผมจะโดนด่าว่า หาเรื่องไปงานเพื่อจะหนีไป .... (ยาว) หลังๆ ไม่เห็นผมปรากฏตัวในงานสังคมก็เป็นอันว่าปกตินะครับ :P
เธอจะพยายามฟัง ไม่เบือนหน้าหนี พยายามคุยด้วย ไม่เคยบอกว่า "พูดอะไรของเธอ" หรือ "พูดอะไร ไม่เข้าใจ"
ส่วนตัวผมไม่มีปัญหานะ เพราะถ้าพูดเรื่องที่คนฟังไม่เข้าใจ เขาจะบอกว่าไม่เข้าใจก็แฟร์ๆ ดี
"ไม่เป็นไรเน๊อะ" แล้วก็ยิ้มให้กำลังใจเราหนึ่งที
อันนี้สำคัญเลยครับ ปกติผมวิ่งรถผิดเลนก็โดนด่าแล้ว การให้อภัยกันเป็นสิ่งสำคัญมาก เป็นสิ่งที่เราควรทำกับคนรักของเราครับ
เธอจะพาผมไปมุมที่เธอตั้งชื่อว่า "Husband Parking" เช่นร้าน iStudio, ร้านหนังสือ, ร้านกาแฟที่มีปลั๊กไฟและ Free Wifi ให้ผมชิวๆ รอ
เรื่องช๊อปปิ้งเป็นเรื่องน่ารำคาญมากสำหรับผู้ชาย เธอจะลากเราไปในที่ๆ ไม่อยากไป แล้วก็ถามความเห็นเราว่า เอาสีฟ้าหรือสีชมพู ถ้าเราตอบว่าสีอะไร เธอจะบอกว่า มันไม่ดี เอาอีกสีดีกว่า คือ แล้วมึงจะถามหาอะไรวะ แล้วพอไม่อยากไป ก็โดนด่าว่า ทำไม อยากไปกับคนอื่นล่ะสิ ซึ่ง แม่งคนละเรื่องเลย :P
เราเชื่อใจกัน เธอไม่เช็คโทรศัพท์ผม ไม่เช็ค Facebook, Line ว่าผมจะคุยกับใคร ไม่ตั้งคำถามว่า "คุยกับใคร", "คนนั้นเป็นใคร"
สำคัญครับ ความเชื่อใจไว้ใจสำคัญมาก แน่นอนว่า ถ้าเราบอกว่า คุณเชื่อใจผมหน่อยสิ เธอจะเข้าใจว่า เราไม่อยากให้เธอจับผิด เพื่อเราจะได้ไปทำผิดได้อย่างสะดวกโยธิน เรื่องนี้ไม่มีวิธีแก้ครับ ติดลูปไป
ในส่วนนี้ สาวๆ มักจะให้เหตุผลว่า ถ้าไม่ได้ทำผิดจะต้องกลัวการจับผิดทำไม ซึ่งจริงๆ แล้ว มันเป็นคนละเรื่องกับทำผิดหรือไม่เลยครับ เพราะมันเป็นเรื่องของวิธีรักของทั้งสองเพศมากกว่า
ผู้ชายจะมองรักว่า ต้องไว้ใจ ดังนั้นการจับผิด เป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความไม่รักครับ ดังนั้นเวลาจับผิดแล้วคุณผู้ชายโมโห ไม่ได้แปลว่าเขาโมโหหลบเลี่ยง หรือกลัวจะโดนจับได้เสมอไปครับ โดยมากแล้วเป็นเพราะ เขารู้สึกไม่ดี เพราะเขารู้สึกว่า คุณไม่รักเขาแล้ว
ในทางกลับกัน คุณผู้หญิงจะรู้สึกว่า ที่จับผิดเพราะรักเขา ถ้าฉันไม่รัก ฉันไม่มานั่งจับผิดหรอกนะ ดังนั้น เขาต้องดีใจสิ ที่ฉันรักเขา
ดังนั้น อันี้เป็นปัญหาโลกแตกครับ เป็นมุมมองของความรักที่ต่างกันของคนต่างเพศเฉยๆ
หลายครั้งที่ผมซื้อของขวัญราคาแพงให้ หรือพาไปทานอาหารที่ดีๆ เธอจะบอกว่าไม่ต้องก็ได้ และเธอก็หมายความว่าแบบนั้นจริงๆ ไม่ได้พูดผ่านๆ (เราเคยนั่งกินมาม่าที่บ้านในวันสำคัญๆ)
แฟนผมไม่ค่อยใส่ใจเรื่องของขวัญนักครับ ถือเป็นโชคดีของผม ในส่วนนี้การพูดความรู้สึกจริงๆ ออกมาสำคัญมาก เพราะถ้าคุณผู้หญิงไม่พูดความจริงออกมา ว่าของขวัญสำคัญหรือไม่ คุณผู้ชายจะยึดถือสิ่งที่คุณพูดเป็นจริงเป็นจัง ถ้าคุณพูดว่าไม่ต้องการของขวัญ เขาจะคิดว่าคุณคงไม่ต้องการจริงๆ ถ้าคุณต้องการคุณก็ต้องบอกไปเลยว่า ฉันอยากได้ หรือ จะไม่มีของขวัญให้หน่อยเหรอ อะไรแบบนี้
หลังๆ ภริผมก็ดีขึ้นมาก (หรืออาจเพราะลูกโตจนไปทะเลาะกับลูกแทนแล้ว) เหมือนที่มิตรสหายท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า ผู้หญิงจะรักจาก 100 - 0 ส่วน ผู้ชายจะรักจาก 0 - 100 ผมว่า ช่วงนี้ภริผมคงรักผมน้อยลงจนเหลือ 50 แล้วผมคงรักภริจนถึง 50 แล้วล่ะ ค่อนข้างลงตัวกับชีวิตคู่ในช่วงนี้ครับ แม้ว่าหลายๆ อย่างจะไม่ดีนัก แต่คงต้องทำใจไปว่า ธรรมชาติของเพศเขาบันดาลให้เขาเป็นแบบนั้น ถ้าเราเลือกก่อนได้ เขาก็คงไม่อยากเป็นแบบนั้นหรอก
การรักจาก 100 - 0 หรือ รักจาก 0 - 100 นี่สำคัญมากเลยครับ เพราะถ้าคุณเริ่มรักที่ 100 คุณย่อมคาดหวังว่าคุณจะได้รับความรักที่ 100 ด้วย และเมื่อคุณไม่ได้ คุณจะผิดหวัง และคุณจะแสดงความไม่พอใจเพราะไม่ได้รับ 100 และผู้ที่เริ่มรักจาก 0 ก็จะเพิ่มพลังความรักขึ้นไม่ได้ เพราะได้รับความไม่พอใจมาแล้ว
วันก่อนในช่วงเช้า ภริผมตะโกนบอกผมว่า "มะระ เปิดประตูหลังบ้านให้หน่อย" ซึ่งถ้าเป็นสัก 5 ปีก่อนมันจะเป็นคำว่า "ตื่นมาตั้งนานแทนที่จะเปิดประตูบ้าน" แค่นี้ก็ทำให้ผู้สึกรักภริขึ้นมากละครับ
คุณสาวๆ ก็ลองดูนะครับ อย่ามัวแต่คิดว่า ทำไมฉันต้องปรับตัว ทำไมผู้ชายถึงไม่เป็นฝ่ายปรับตัว เพราะถ้ามัวแต่รอว่าให้ใครทำก่อน ก็ไม่มีใครลงมือทำสักที เมื่อไม่มีใครเปลี่ยนสักที
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น