26/11/56

Convert rsa key

มีปัญหากับคีย์เสียแล้ว เมื่อจำ passphrase ของคีย์ที่ใช้มาหลายปีไม่ได้ ไม่น่าจะจำไม่ได้เพราะใช้มาตลอด แต่ตอนหลังนี้ดัน authen ไม่ผ่านไม่รู้ว่าเกิดไรขึ้นเลยเป็นเหตุให้ต้อง Gen-key ใหม่ แต่โชคดีที่เครื่องที่ผมใช้ Key ในการ authen มีน้อย (ถ้าไม่บังคับก็ไม่ใช้)

ทีนี้ เมื่อต้อง Gen-key ใหม่ ก็เอาคีย์เดียว passphrase เดียว ให้ครบทุกฟอร์แมตเลย (มีเพื่อนฝรั่งผมคนนึง มีคีย์เยอะมาก ไม่รู้ลำบากมากมั้ย) คีย์ที่จำเป็นต้องใช้ตอนนี้ก็มี

  • rsa สำหรับ SSH
  • pem สำหรับ aws
  • ppk สำหรับ putty เวลาใช้ Windows

ดังนั้นผมก็จะ Gen-key ใหม่โดยเป็น rsa ก่อน แล้วค่อย Convert เป็นอีกสองฟอร์แมตแล้วเก็บไว้ทีเดียวเลย

Gen RSA Key


  • ssh-keygen -t rsa -C "email@mail.com"

แปลงเป็น .pem


  • openssl rsa -in id_rsa -outform pem > id_rsa.pem

แปลงเป็น ppk


  • ติดตั้ง puttygen ก่อน "apt-get install putty-tools"
  • puttygen id_rsa -o id_rsa.ppk

อวสาน

25/11/56

วิธีตั้งเซิร์ฟ Minecraft

ช่วงนี้เด็กๆ ที่บ้านกำลังฮิตเล่น Minecraft ซึ่งมันมีเซิร์ฟเวอร์ให้เข้าไปเล่นออนไลน์อยู่ แล้วคุณลูกสาวดันไปเล่นแบบแกล้งชาวบ้านเขา คือเข้าไปเกรียนนั่นเอง เลยโดนเตะออกมา ผมก็เลยคิดว่า ตั้งเซิร์ฟเวอร์เองดีกว่า อยากเล่นอยากทำไรก็ทำไป

หลังจากปวดหัวอยู่กับการพยายามตั้งเซิร์ฟเองอยู่นาน ก็เลยจะมาบันทึกเก็บไว้หน่อย เผื่อมีใครติดปัญหา เพราะวิธีติดตั้งที่เขียนแนะนำอยู่ส่วนใหญ่ไม่ได้ให้คำตอบเท่าไหร่นัก ต้องลองเองซะเป็นส่วนมาก ก่อนนี้เขียนเวอร์ชั่น Eng ไว้ เผื่อฝรั่งเสริชมาเจอจะช่วยได้บ้าง เพราะ how to ที่มีอยู่ก็ไม่ช่วยเท่าไหร่

Minecraft server 101

แนะนำก่อน ตัว Minecraft นั้นไม่เป็นโปรแกรมฟรี มันจะมีตัวตั้งเซิร์ฟเ้วอร์อยู่ เป็นตัว Minecraft ต้นฉบับ ชื่อ minecraft_server.exe กับอีกตัวที่เป็นโครงการทำลอกขึ้นมา ซึ่งใช้ได้ดี ชื่อ craftbukkit ซึ่งผมแนะนำให้ใช้ตัวนี้ในการตั้ง

ติดตั้ง Minecraft server

  • ถ้าอยากติดบนเซิร์ฟเวอร์จริง แนะนำให้ลอง AWS แต่อันนี้ตอนสมัครจะบังคับกรอก Credit card ซึ่งถ้าเด็กๆ อยากลองตั้งกันเองอาจไม่สะดวก อีกเจ้าที่แนะนำคือ Azure อันนี้ไม่บังคับกรอก Credit crad การใช้บริการของสองเจ้านี้ จะทำให้เราได้ไอพีจริงมาเลย ไม่จำเป็นต้องใช้ Hamachi
  • ขั้นแรกติดตั้งโอเอสที่ต้องการครับ Windows, Linux หรืออะไรก็ได้ที่มี Java รองรับ
  • ต่อไป ติดตั้ง Java 6 หรือ 7 พร้อมกำหนด Path ให้เรียบร้อย ถ้าเป็น Windows แล้วไม่รู้ว่าจะตั้ง Path ยังไง แนะนำให้ติด Java ตัวที่เป็น EXE ครับ เดี๋ยวมันจัดการให้เอง
  • ดาวน์โหลด craftbukkit http://dl.bukkit.org/downloads/craftbukkit/list/rb/
  • โหลดเสร็จจะได้ไฟล์ .jar เอาไว้ที่โฟลเดอร์ไหนก็ได้ครับ
  • เขียนสคริปเพื่อเรียกไฟล์ .jar ให้มันทำงาน ก็เปิด Text editor ขึ้นมา Notepad หรืออะไรก็ได้

Windows ให้เขียนตามนี้
java -Xmx1024M -jar craftbukkit.jar
PAUSE
Linux ให้เขียนตามนี้
#!/bin/sh
BINDIR=$(dirname "$(readlink -fn "$0")")
cd "$BINDIR"
java -Xmx1024M -jar craftbukkit.jar
OS X ให้เขียนตามนี้
#!/bin/bash
cd "$( dirname "$0" )"
java -Xmx1024M -jar craftbukkit.jar

  • เสร็จแล้วให้เซฟไว้ในโฟลเดอร์เดียวกับที่เก็บไฟล์ .jar ไว้ก่อนหน้านี้
    • Windows: ตั้งชื่อว่า run.bat (คลิกขวาที่ไฟล์ เลือก Property สั่ง Executeable)
    • Linux: ตั้งชื่อว่า run.sh (แก้เปอร์มิชชั่นไฟล์ด้วย สั่ง "chmod a+x run.sh")
    • OS X: ตั้งชื่อว่า run.command (แก้เปอร์มิชชั่นไฟล์ด้วย สั่ง "chmod a+x run.command")
  • สั่งรันเซิร์ฟ
    • Windows: ดับเบิลคลิก run.bat
    • Linux: cd ไปที่โฟลเดอร์ที่มีไฟล์ .jar พิมพ์คำสั่ง "./run.sh"
    • OS X: ลากไฟล์ run.command ไปทิ้งใน Terminal.app แล้วเอ็นเทอร์ (return)
  • หลังจากรันแล้ว Craftbukkit จะสร้างไฟล์คอนฟิกขึ้นมาให้ แต่เราจะยังเล่นไม่ได้

ตั้งค่า

เราจะต้องตั้งค่าให้เซิร์ฟเวอร์ของเราก่อน ถึงจะเข้าเล่นได้
  • ที่หน้าต่างที่ถูกเปิดขึ้นมา (หน้าดอส) ให้พิมพ์ "stop" เพื่อสั่งปิดการทำงาน
  • เข้าไปที่โฟลเดอร์ .jar จะมีไฟล์ต่างๆ มากมาย
  • เปิดไฟล์ server.properties ด้วย Notepad หรือ Text editor อื่นๆ
    • บรรทัด "online-mode=true" แก้เป็น false
    • บรรทัด "server-ip=" ให้ปล่อยไว้ อย่าแก้หรือใส่ค่าอะไร
    • ส่วนการตั้งค่าบรรทัดอื่นๆ ลองดูค่าได้ตามลิงก์นี้ http://minecraft.gamepedia.com/Server.properties
  • เพียงเท่านี้ก็จะสามารถเข้าเล่น Minecraft บน server ของเราได้แล้ว ให้ Start เซิร์ฟเวอร์ขึ้นมา
  • ในตอนนี้เราสามารถใช้ Minecraft เพื่อต่อเข้าไปเล่นที่เซิร์ฟเวอร์ของเราได้แล้ว

ติดตั้งปลั๊กอิน

ขั้นตอนนี้จะทำหรือไม่ก็ได้ครับ แต่คนส่วนใหญ่จะต้องการปลั๊กอิน Essentials กับ PermissionEX กันเสียเป็นส่วนใหญ่

ปลั๊กอินทำไรได้บ้าง
  • Essentials จะทำได้หลายอย่างด้วยกัน เช่น Warp, Home และ Sethome, Heal, Time, Weather, Teleport และอื่นๆ
  • PermissionEX จะทำให้เราสามารถสร้างกลุ่ม และกำหนดสิทธิ์ผู้เล่นแต่ละคนได้ ว่าจะให้สามารถใช้คำสั่งอะไรได้บ้าง
ติดตั้ง
  • สั่งหยุดเซิร์ฟก่อน ในหน้าต่าง Dos ให้พิมพ์ "stop" เพื่อหยุดการทำงาน
  • ดาวน์โหลดปลั๊กอิน
  • เราจะได้ไฟล์ .jar มา ให้เอาไปไว้ในโฟลเดอร์ plugins
  • สตาร์ทเซิร์ฟเวอร์ ตัวปลั๊กอินจะสร้างไฟล์ที่จำเป็นขึ้นมา

ตั้งค่าปลั๊กอิน

พยายามอย่าแก้ไขไฟล์คอนฟิกโดยตรง เพราะอาจผิดพลาดได้
สำหรับการกำหนดค่า Permission ของ PermissionsEX ให้ดูที่ลิงก์นี้ https://github.com/PEXPlugins/PermissionsEx/wiki/Commands โดยพิมพ์คำสั่งลงไปได้ในหน้า Dos

สำหรับ Essentials ดูคำสั่งได้ที่นี่ http://wiki.ess3.net/wiki/Command_Reference 

Setup Minecraft server

How to Setup Minecraft server

Install Minecraft server

  • If you not have server. I recommend you to use AWS or Azure to create free Windows or Linux server. You will get public IP. It no Hamachi require :)
  • Install OS what you want
  • Install Java 6 or 7
  • Download craftbukkit http://dl.bukkit.org/downloads/craftbukkit/list/rb/
  • After download Put .jar file in any folder.
  • Write a script to run .jar file. Open Text editor and paste a below script

Windows
java -Xmx1024M -jar craftbukkit.jar
PAUSE
Linux
#!/bin/sh
BINDIR=$(dirname "$(readlink -fn "$0")")
cd "$BINDIR"
java -Xmx1024M -jar craftbukkit.jar
OS X
#!/bin/bash
cd "$( dirname "$0" )"
java -Xmx1024M -jar craftbukkit.jar

  • Save file in the folder it's contain .jar file
    • Windows: Save to run.bat
    • Linux: Save to run.sh (Chang permission to allow execute by command "chmod a+x run.sh")
    • OS X: Save to run.command (Chang permission to allow execute by command "chmod a+x run.command")
  • Run it
    • Windows: Double click the .bat file
    • Linux: cd to the .jar folder type command "./run.sh"
    • OS X: Drag run.command into Terminal.app and return
  • Afetr run the command. Craftbukkit will create many file in the folder.

Configuration

Now your Minecraft server is running but you cannot access it.
  • In the terminal or Dos window type "stop" to stop the server
  • Go to the .jar folder. Now you see a lot of file
  • Open server.properties and edit these line
  • Now you can playing Minecraft on your server
    • Execute the file (run.bat or run.sh)
    • Open Minecraft in your computer
    • Select Multiplayer mode
    • Add server and type your Server IP or Hostname

Install plugins

This step is optional but you may need it. Plugins you may need for your Minecraft server are Essentials and PermissionEX

How can plugins do
  • Essentials plugin come with many thing you need in minecraft. eg. Warp, Home or Sethome, Heal, Time, Weather, Teleport etc.
  • PermissionEX are allow you to create user group, Assign user to group, Allow group or user to use each command in game
Install plugin

Plugins Configuaration

Do not edit configuration file directly. To manage permission with PermissionsEX. Let's type the command (https://github.com/PEXPlugins/PermissionsEx/wiki/Commands) in minecraft terminal screen.

For Essentials plugin. It command is here http://wiki.ess3.net/wiki/Command_Reference 

ผู้ชุมนุมถูกจ้างมา ผิดไหม?

หลังจากได้ยินเสียงด่า ว่า "ม๊อบเสื้อแดงมันโดนจ้างมา" ซึ่งก็น่าจะจริง เพราะส่วนใหญ่เป็นคนทางอิสาน ผมเคยขับรถ หรือไปรถโดยสารที่ขอนแก่นก็บ่อยจึงพอรู้ว่า ค่าใช้จ่ายมันเยอะพอสมควร มากพอที่จะไม่สามารถทำให้เชื่อได้ว่า คน ตจว. จะควักกระเป๋าเพื่อพอตัวเองมาพร้อมกันได้มากขนาดนี้ ดังนั้น มันน่าจะต้องมีคนควักให้เขามา ซึ่งจริงหรือไม่ต้องไปหาคำตอบกันเอา

หลังจากประโยคใน Quote ข้างต้น ผมสงสัยว่า เออ ม๊อบจ้างมา แล้วมันผิดหรือถูก ดีหรือไม่ดีล่ะ

ผมลองยกตัวอย่างนึง

Case1

A: ผมอยากใช้โอเพนซอร์ส
B: งั้นคุณต้องหัดเอง

A: ผมอยากไปม๊อบ
B: งั้นคุณต้องไปเอง

Case2

A: ผมอยากใช้โอเพนซอร์สแต่หัดเองไม่เป็น
B: งั้นผมสอน

A: ผมอยากไปม๊อบแต่ไปเองไม่เป็น
B: งั้นผมพาไป

Case3

A: ผมอยากใช้โอเพนซอร์สแต่ไม่มีตังค์ไปเรียน
B: งั้นผมออกให้

A: ผมอยากไปม๊อบแต่ไม่มีตังค์ไป
B: งั้นผมออกให้

Case4

A: ผมอยากใช้โอเพนซอร์สแต่ถ้าลางานไปเรียนผมก็จะขาดรายได้
B: งั้นผมชดเชยค่าแรงวันนั้นให้

A: ผมอยากไปม๊อบแต่ถ้าลางานไปผมก็จะขาดรายได้
B: งั้นผมชดเชยค่าแรงวันนั้นให้

ถ้าเป็นใน 4 Case ข้างต้น ผมไม่คิดว่ามีใครผิดเลย คนรักโอเพนซอร์สอยากให้ผู้อื่นใช้ด้วย ถ้าผู้นั้นไม่มีเงินมาเรียน ผู้ที่มีทรัพย์มากกว่า ก็พร้อมจะออกเงินให้ (ผมเคยเจอมาแล้ว หลายครั้งด้วย)

ถ้างั้น มันจะผิดเมื่อไหร่ ? มันจะผิดเมื่อ คุณไม่ได้อยากใช้โอเพนซอร์สจริง แต่โกหกว่าอยากใช้ เพื่อจะได้รับเงินช่วยเหลือค่ารถ หรือค่าเรียน

14/11/56

แอบดูภริของ khajochi กัน


จากบล๊อกของ khajochi แนะนำว่าคู่รักควรอ่านครับ โดยเฉพาะผู้หญิง แน่นอน สาวๆ ต้องบ่นว่า ทำไมต้องเป็นผู้หญิง ทีผู้ชายล่ะ bla bla bla ซึ่งอันนั้นเอาไว้ก่อนครับ เรามาลองแอบดูภริของ khajochi กันก่อน

ด้านล่างนี้ผมตัดมาจาก Blog ขิง khajochi เลยนะครับ

ไม่เปรียบแฟนกับผู้ชายอื่น (ว่าคนอื่นดีกว่า)

อันนี้สำคัญมากครับ ถ้าคุณจะเปรียบ คุณควรเปรียบกับคนที่แย่กว่า เช่น สามีฉันดีจังไม่เป็นแบบคนนั้น เพราะการให้กำลังใจแบบนี้ จะทำให้เขามีกำลังใจในการทำตัวให้ดีขึ้นกว่าเดิมครับ

ทุกครั้งที่นัดเจอกัน พอเชอรี่เห็นหน้าผม เธอจะยิ้มให้ก่อนทุกครั้ง ไม่ว่าผมจะเหนื่อย จะโทรม จะมาสาย แต่เธอก็จะยิ้มให้ก่อนเสมอ

ถ้าคุณให้อภัย คราวหลังเขาจะมาเร็วขึ้นครับ ถ้าเขามาสายแปลว่าต้องมีเหตุบางอย่าง หรือบางคนอาจมาสายเป็นสันดาน อันนั้นก็ว่ากันไป แต่ถ้าเขาไปสายแล้วคุณหน้าบึ้งใส่ คราวหน้าเขาจะสายขึ้นกว่าเดิมครับ เพราะถ้าเขาสายนิดนึง เขาจะกลัวคุณโกรธ เขาก็จะพาลโกหกไปเลยว่า ปวดท้อง รถเสีย ไปไม่ได้ เพื่อจะได้ไม่ต้องไปเห็นหน้าบูดๆ

เชอรี่ดูแลทุกอย่างที่เกี่ยวกับผม เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า อาหาร ยา ผลไม้ ขนม กาแฟ วิตามิน ฯลฯ

ผมไม่คิดว่าผู้ชายทุกคนจะต้องการการดูแลขนาดนั้นนะ คือ ถ้ามีก็เป็นของแถมไป แต่ผมเคยเจอพี่พนักงานขับรถที่ออฟฟิศชอบบ่นว่า เมียแกไม่ยอมซักผ้าด้วยมือ ชอบซักเครื่อง ไม่สะอาด อันนี้ก็น่าจะเกินไป

เวลาที่โกรธกันเชอรี่ไม่เคยโวยวาย ดุด่า งี่เง่า เอาแต่ใจ ... แต่เธอจะเงียบ และรอให้ทั้งสองคนใจเย็นๆ ค่อยหันกลับมาคุยกัน

อันนี้สำคัญมากครับ ผมว่าภริของ khajochi เกินมาตรฐานของผู้หญิงไปเลยล่ะ เพราะตามธรรมชาติของผู้หญิงแล้ว เวลามีปัญหาเธอจะต้องพูดครับ คือบ่น หรือด่า หรืออะไรก็แล้วแต่ เธอจะต้องพูดๆๆๆๆ มันออกมา พอพูดหมดแล้ว เธอจะสบายใจ (ส่วนผู้ชายจะเป็นยังไงก็อีกเรื่องนะ) การที่ khajochi ได้ภริที่เงียบเป็น ถือว่าเป็นของที่สวรรค์ประทานมาเลยครับ ส่วนผู้ชายที่ได้แฟนขี้โวย ชอบทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ก็ทำใจไปครับ แฟนของคุณเป็นไปตามธรรมชาติของเพศของเขาแล้ว

ผมเป็นคนขี้เซา(มาก) เชอรี่จะโทรปลุกผมทุกเช้า บางครั้งโทรเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น แต่เธอก็จะพยายามโทรต่อไปแม้จะต้องทำงานไปด้วย (สถิติสูงสุด 64 miss call)

โดยปกติ ถ้า 64 miss call น่าจะต้องโดนด่าครับ ว่าแอบไปทำอะไร อยู่กับใคร .... (ยาว) การที่ khajochi ได้ภริที่ไม่ด่า ก็ถือว่าสวรรค์ประทานครับ :)

ด้วยความเป็น Geek ผมก็มีเรื่องมากมายที่ผู้หญิงทั่วไปไม่เข้าใจ แต่เชอรี่พยายามที่จะเข้าใจ เธอพยายามเล่น Social, พยายามเขียนบล็อก, พยายามไปงาน Event ด้วยกัน แม้จะไม่รู้ว่านี่คืองานอะไร

ส่วนของผมจะโดนด่าว่า หาเรื่องไปงานเพื่อจะหนีไป .... (ยาว) หลังๆ ไม่เห็นผมปรากฏตัวในงานสังคมก็เป็นอันว่าปกตินะครับ :P

เธอจะพยายามฟัง ไม่เบือนหน้าหนี พยายามคุยด้วย ไม่เคยบอกว่า "พูดอะไรของเธอ" หรือ "พูดอะไร ไม่เข้าใจ"

ส่วนตัวผมไม่มีปัญหานะ เพราะถ้าพูดเรื่องที่คนฟังไม่เข้าใจ เขาจะบอกว่าไม่เข้าใจก็แฟร์ๆ ดี

"ไม่เป็นไรเน๊อะ" แล้วก็ยิ้มให้กำลังใจเราหนึ่งที

อันนี้สำคัญเลยครับ ปกติผมวิ่งรถผิดเลนก็โดนด่าแล้ว การให้อภัยกันเป็นสิ่งสำคัญมาก เป็นสิ่งที่เราควรทำกับคนรักของเราครับ

เธอจะพาผมไปมุมที่เธอตั้งชื่อว่า "Husband Parking" เช่นร้าน iStudio, ร้านหนังสือ, ร้านกาแฟที่มีปลั๊กไฟและ Free Wifi ให้ผมชิวๆ รอ

เรื่องช๊อปปิ้งเป็นเรื่องน่ารำคาญมากสำหรับผู้ชาย เธอจะลากเราไปในที่ๆ ไม่อยากไป แล้วก็ถามความเห็นเราว่า เอาสีฟ้าหรือสีชมพู ถ้าเราตอบว่าสีอะไร เธอจะบอกว่า มันไม่ดี เอาอีกสีดีกว่า คือ แล้วมึงจะถามหาอะไรวะ แล้วพอไม่อยากไป ก็โดนด่าว่า ทำไม อยากไปกับคนอื่นล่ะสิ ซึ่ง แม่งคนละเรื่องเลย :P

เราเชื่อใจกัน เธอไม่เช็คโทรศัพท์ผม ไม่เช็ค Facebook, Line ว่าผมจะคุยกับใคร ไม่ตั้งคำถามว่า "คุยกับใคร", "คนนั้นเป็นใคร"

สำคัญครับ ความเชื่อใจไว้ใจสำคัญมาก แน่นอนว่า ถ้าเราบอกว่า คุณเชื่อใจผมหน่อยสิ เธอจะเข้าใจว่า เราไม่อยากให้เธอจับผิด เพื่อเราจะได้ไปทำผิดได้อย่างสะดวกโยธิน เรื่องนี้ไม่มีวิธีแก้ครับ ติดลูปไป
ในส่วนนี้ สาวๆ มักจะให้เหตุผลว่า ถ้าไม่ได้ทำผิดจะต้องกลัวการจับผิดทำไม ซึ่งจริงๆ แล้ว มันเป็นคนละเรื่องกับทำผิดหรือไม่เลยครับ เพราะมันเป็นเรื่องของวิธีรักของทั้งสองเพศมากกว่า
ผู้ชายจะมองรักว่า ต้องไว้ใจ ดังนั้นการจับผิด เป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความไม่รักครับ ดังนั้นเวลาจับผิดแล้วคุณผู้ชายโมโห ไม่ได้แปลว่าเขาโมโหหลบเลี่ยง หรือกลัวจะโดนจับได้เสมอไปครับ โดยมากแล้วเป็นเพราะ เขารู้สึกไม่ดี เพราะเขารู้สึกว่า คุณไม่รักเขาแล้ว
ในทางกลับกัน คุณผู้หญิงจะรู้สึกว่า ที่จับผิดเพราะรักเขา ถ้าฉันไม่รัก ฉันไม่มานั่งจับผิดหรอกนะ ดังนั้น เขาต้องดีใจสิ ที่ฉันรักเขา
ดังนั้น อันี้เป็นปัญหาโลกแตกครับ เป็นมุมมองของความรักที่ต่างกันของคนต่างเพศเฉยๆ

หลายครั้งที่ผมซื้อของขวัญราคาแพงให้ หรือพาไปทานอาหารที่ดีๆ เธอจะบอกว่าไม่ต้องก็ได้ และเธอก็หมายความว่าแบบนั้นจริงๆ ไม่ได้พูดผ่านๆ (เราเคยนั่งกินมาม่าที่บ้านในวันสำคัญๆ)

แฟนผมไม่ค่อยใส่ใจเรื่องของขวัญนักครับ ถือเป็นโชคดีของผม ในส่วนนี้การพูดความรู้สึกจริงๆ ออกมาสำคัญมาก เพราะถ้าคุณผู้หญิงไม่พูดความจริงออกมา ว่าของขวัญสำคัญหรือไม่ คุณผู้ชายจะยึดถือสิ่งที่คุณพูดเป็นจริงเป็นจัง ถ้าคุณพูดว่าไม่ต้องการของขวัญ เขาจะคิดว่าคุณคงไม่ต้องการจริงๆ ถ้าคุณต้องการคุณก็ต้องบอกไปเลยว่า ฉันอยากได้ หรือ จะไม่มีของขวัญให้หน่อยเหรอ อะไรแบบนี้

หลังๆ ภริผมก็ดีขึ้นมาก (หรืออาจเพราะลูกโตจนไปทะเลาะกับลูกแทนแล้ว) เหมือนที่มิตรสหายท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า ผู้หญิงจะรักจาก 100 - 0 ส่วน ผู้ชายจะรักจาก 0 - 100 ผมว่า ช่วงนี้ภริผมคงรักผมน้อยลงจนเหลือ 50 แล้วผมคงรักภริจนถึง 50 แล้วล่ะ ค่อนข้างลงตัวกับชีวิตคู่ในช่วงนี้ครับ แม้ว่าหลายๆ อย่างจะไม่ดีนัก แต่คงต้องทำใจไปว่า ธรรมชาติของเพศเขาบันดาลให้เขาเป็นแบบนั้น ถ้าเราเลือกก่อนได้ เขาก็คงไม่อยากเป็นแบบนั้นหรอก

การรักจาก 100 - 0 หรือ รักจาก 0 - 100 นี่สำคัญมากเลยครับ เพราะถ้าคุณเริ่มรักที่ 100 คุณย่อมคาดหวังว่าคุณจะได้รับความรักที่ 100 ด้วย และเมื่อคุณไม่ได้ คุณจะผิดหวัง และคุณจะแสดงความไม่พอใจเพราะไม่ได้รับ 100 และผู้ที่เริ่มรักจาก 0 ก็จะเพิ่มพลังความรักขึ้นไม่ได้ เพราะได้รับความไม่พอใจมาแล้ว

วันก่อนในช่วงเช้า ภริผมตะโกนบอกผมว่า "มะระ เปิดประตูหลังบ้านให้หน่อย" ซึ่งถ้าเป็นสัก 5 ปีก่อนมันจะเป็นคำว่า "ตื่นมาตั้งนานแทนที่จะเปิดประตูบ้าน" แค่นี้ก็ทำให้ผู้สึกรักภริขึ้นมากละครับ

คุณสาวๆ ก็ลองดูนะครับ อย่ามัวแต่คิดว่า ทำไมฉันต้องปรับตัว ทำไมผู้ชายถึงไม่เป็นฝ่ายปรับตัว เพราะถ้ามัวแต่รอว่าให้ใครทำก่อน ก็ไม่มีใครลงมือทำสักที เมื่อไม่มีใครเปลี่ยนสักที

Fail on Titan

รู้สึกผิดหวังกับการ์ตูน Titan แต่คงต้องอ่านต่อไป ตอนแรกๆ สนุกมาก รู้สึกถึงเบื้องลึกของจิตใจมนุษย์ ความเห็นแก่ตัว ความกลัว ความโหยหาถึงอิสระภาพ

ภาพในฝันของการ์ตูนไททันหลังจากอ่านตอนต้นๆ

  • ต่อสู้เพื่ออิสระ
  • ปิศาจยักษ์ที่เป็นผลพวงจากการกระทำของมนุษย์เอง
  • ความเห็นแก่ตัวที่อยากจะเอาตัวรอด โดยถีบหัวส่งคนอื่นๆ ให้ไปเป็นเหยื่อ
  • เนื้อเรื่องที่เข้มข้น ดรามา

แต่ตอนหลังๆ มา พระเอกแปลงเป็นไททันได้ คนอื่นๆ ก็แปลงร่างกันวุ่นวาน เอ้า พอรับได้ แอบหวังว่าจะไปเฉลยในตอนจบว่าพ่อเอเลนนี่เองที่เป้นตัวร้าย พอมาเจอตอน 50 เอเลนทะลึ่งสั่งไททันตัวอื่นได้ นะนะ นี่ นี่มัน ฮาคิชัดๆ คือ มันทำให้ผิดหวังอย่างรุนแรง แต่เอาเถอะ คงต้องอ่านต่อไป เซ็ง

หลายๆ เรื่องในไททันมันช่างขัดกับความรู้สึกเสียจริง เช่น ตามล่าว่าใครกันที่เป็นไททันได้บ้าง ทำไมมึงไม่เอามีดเฉือนทุกคนเลยวะ ใครมีควันก็คนนั้นล่ะไททัน อื่นๆ ยังมีอีก แต่ตอนนี้นึกไม่ออก

ปล. ตอนหลังๆ ภาพเริ่มวาดดีขึ้นเยอะ อ่านสบายขึ้นมาก

31/10/56

เหมาเข่ง

กำลังเป็นวาระแห่งชาติสำหรับประเด็นนี้ ในเรื่องทั่วไปเกี่ยวกับการนิรโทษกรรมเหมาเข่ง หลายๆ ท่านทราบรายละเอียดดีอยู่แล้ว ผมรู้สึกว่ามันเป็นช่องที่ดีสำหรับแกนนำหรือ สส.เพื่อไทยที่ไม่เอาเหมาแข่ง มันเป็นช่วงเวลาที่ดี ที่จะอาศัยความไม่ซื่อสัตย์ของเพื่อไทยในการสร้างขั้วอำนาจใหม่ที่น่าจะได้เสียงสนับสนุนเยอะ

ม๊อบต่างๆ (อุรุพงษ์ สวนลุม) ไม่เอาทักกี้ ไม่เอา ปชป. รักในหลวง
เสื้อเหลือง ไม่เอาทักกี้ ไม่เอา ปชป. รักในหลวง

ดังนั้น ถ้าแกนนำ นปช. แยกตัวออกมาเป็นพรรคใหม่ ก็จะแสดงจุดยืนได้ว่า ไม่เอาทักกี้ รักในหลวง ทวงคืน ปตท. เรียกร้องพระวิหาร คือ มันน่าจะได้มวลชนมาเยอะเลยล่ะ แล้วก็กำจัดเพื่อไทยกับ ปชป. ออกไป ชนะเลิศ

แต่ในความเป็นจริงมันคงมีเบื้องหลังอะไรอยู่แหล่ะ เพราะไม่งั้นถ้าสบช่องได้แบบนี้ แกนนำน่าจะคว้าไว้ มีลุ้นได้เกาอี้นายก ไม่ต้องรอให้โอ้คมานั่ง

21/10/56

อำนาจ และสิทธิ์

ช่วงหลังเริ่มสนใจในเรื่องของสิทธิ์และการเรียกร้อง เดี๋ยวจะย้ายงานไปเป็นนักสิทธิมนุษยชนละ ที่ผ่านมาผมพยายามรณรงค์เรื่องของสิทธิ์ต่างๆ โดยอิงด้วยตรรกและเหตุผล ซึ่งถ้าเหตุผล หรือตรรกที่ผมเชื่อถืออยู่นั้นผิด ผมก็พร้อมที่จะเปลี่ยนความเชื่อครับ หลายคนบอกว่านี่มันไม่มีจุดยืนนี่หว่า แต่ผมว่ามันก็ดีกว่าหัวรั้นครับ

ผมชอบที่จะรณรงค์ว่า รักร่วมเพศควรแต่งงานกันได้นะ เหตุผล เพราะคู่รักนั้นๆ จะได้ใช้สิทธิ์ของกฏหมายแบบเดียวกับคู่ครองอื่นๆ ได้ เช่น ถ้าหย่าต้องชดใช้ อะไรแบบนี้

ผมชอบที่จะรณรงค์ว่า เราควรจะมีสิทธิ์ในการแสดงความเห็นในเรื่องต่างๆ เช่น ยิ่งลักษณ์เล่นพิณกู่เจิงไม่เพราะเอาเสียเลย เราควรจะพูดอะไรแบบนี้ได้ โดยไม่มีกฏหมายพิซซ่าเพื่อเอาเล่นงานกัน

ผมนึกถึงแต่คำว่าสิทธิ์มาโดยตลอด จนเร็วๆ นี้ ผมได้ยินคำใหม่ติดกันสองสามครั้ง คือคำว่า "อำนาจ" หมู่บ้านผมได้งบ SML มาก้อนหนึ่งซึ่งผมก็ไปช่วยเขาดูแลจัดการเรื่องการติดกล้อง CCTV ด้วยการหาเจ้ามาแข่งราคา แล้วก็เลือกเจ้ากัน โดยในการทำงานนั้นมันย่อมมีบ้างที่ความเห็นไม่ตรงกัน หรือมีขัดแย้งกันบ้างเป็นธรรมดาของการทำงาน และสิ่งที่ผมพบคือ คนส่วนน้อยส่วนหนึ่ง พยายามใช้ อำนาจ

ผมเพิ่งตระหนักถึงคำว่าอำนาจในตอนนี้เอง ผมนึกถึงนิยามของอำนาจ ว่าอำนาจคืออะไร ทุกครั้งที่ผมแสดงความเห็น หรือเสนอแนวคิดอะไรสักอย่าง ผมใช้สิ่งที่เรียกว่า "สิทธิ์" มันเป็นสิทธิ์ที่พึงมีในฐานะลูกบ้าน ที่จะเสนอหรือแสดงความเห็น และในบางครั้ง ผมจะโดนริดรอนสิทธิ์นั้นๆ ด้วยคำว่า "คุณไม่มีอำนาจ" นั่นทำให้นิยามของคำว่า อำนาจ ปรากฏขึ้น คือ อำนาจมีไว้เพื่อริดรอนสิทธิ์ของผู้อื่น จะโดยชอบธรรมหรือไม่ก็ตาม

10/10/56

You are What phone is

กำลังดูมือถือใหม่อยู่ เพื่อเอามาแทน Optimus One ที่เริ่มอืด จริงๆ แล้วก่อนหน้านี้พี่ที่ออฟฟิศยก HTC HD2 ให้ แต่ใช้ไปได้สัก 3-4 เดือนเจอ White screen of death เลยต้องกลับมาใช้ Optimus One ตามเดิม

จากที่มองๆ หาเครื่องที่น่าจะถูกใจ พบว่าเกณฑ์การพิจารณา ซึ่งน่าจะบ่งบอกถึงรสนิยมของผมออกมาเป็นดังนี้

  • จอประมาณ 4นิ้ว
  • Resolution สูงหน่อย แต่ก็ติดที่ขนาดหน้าจอแหล่ะ
  • Batt
  • มี Hard button ด้านล่าง คงจำกัดอยู่ที่ Samsung

เท่าที่เล็งๆ ดูอันที่ถูกใจมี Galaxy S4 Mini กับ Galaxy ACE 3 คงยังไม่ได้ซื้อเร็วๆ นี้ แต่การไล่ดูทำให้เห็นความต้องการของตัวเอง และพอรู้ว่าไอ้เรานี่มันแนวไหน

A new way to translate

หลังจาก Google เอาแถบดำด้านบนก็เป็นปัญญากับการใช้งานของผมอีกแล้ว ปัญหาที่ว่าคือ Google Translate ปกติแล้ว พฤติกรรมการใช้งานของผมคือ

  1. พิมพ์คำที่ต้องการแปลลงใน Address bar แล้ว Enter
  2. จะได้หน้าผลลัพธ์ของคำค้น จากคำที่พิมพ์ลงไป
  3. ที่แถบดำด้านบน กดที่บริการ Translate ก็จะได้รับคำแปลเลย

ด้วยวิธีนี้แปลว่า ผมพิมพ์คำ แล้วคลิกอีกสองครั้ง จะได้คำแปล ซึ่งผมชอบเพราะเข้าถึงได้ใน 3 ขั้นตอน แต่อย่างที่บอก แถบดำด้านบนหายไปแล้ว ต้องมาหาทางจัดการ

วิธีแรก เปลี่ยนพฤติกรรม


  1. เข้า http://translate.google.com/ ก่อน (ไม่ชอบ พิมพ์ยาว) หรือถ้าพิมพ์ "goo tran" แล้ว Enter
  2. เราจะได้ Google translate มาเป็นผลลัพธ์ในการค้นหา ซึ่งจะต้องคลิกเพื่อไปหน้าบริการของ Google translate อีกที
  3. พิมพ์คำที่ต้องการแปล

ด้วยวิธีนี้ ผมจะได้คำแปลด้วยการพิมพ์สองครั้ง กับ หนึ่งคลิก เมื่อเทียบกับวิธีดังเดิมคือ พิมพ์หนึ่งครั้งกับสองคลิก มันเทียบกันไม่ได้เลย

วิธีสอง หาโซลูชั่น


  • โซลูชั่นแรก เพิ่ม Short cut ไว้ในหน้า App luncher หรือ App bookmark (ไม่รู้ภาษา Chrome เรียกอะไร ไอ้ที่เราเปิด Tab ใหม่แล้วจะเจอเป็นไอคอนเรียงอยู่นั่นล่ะ) ซึ่งมันจะจบที่ กด Ctrl+t ตามด้วย 1คลิก ตามด้วย พิมพ์คำ ก็ใกล้เคียงกับวิธีเดิม
  • โซลูชั่นที่สอง ใช้ Chrome extension ซึ่งมีครับ
    • อันแรก Google translate extension แต่มันเอาไว้คลิกเพื่อแปลหน้าเว็บที่เปิดอยู่ คือฟีเจอร์ชนกับที่มีอยู่แล้วใน Chrome
    • กับอีก Extension ชื่อ Instant translate ซึ่งน่าจะลงตัวกับอันนี้ เท่าที่ลองแล้ว ถูกใจอยู่

ปล. ส่วน Google reader ยังหาตัวที่ทดแทนไม่ได้ ตัวที่มีอยู่ส่วนใหญ่แค่ใกล้เคียง

5/8/56

Macau - Hong Kong First day

และแล้วจากที่รอมาเป็นแรมปี หลังจากวันที่จองตั๋วไป ก็ถึงวันที่เราจะได้เดินทางกันสักที ผมชอบและติดใจการเตรียมการเดินทางแบบข้ามปีอย่างนี้มาก เพราะมันจะสนุกและมีความสุขกับการได้รอคอย และก่อนจะถึงเวลานั้น เราก็จะไม่อยากไปเที่ยวไหนนัก เพราะมีทริปที่วางแผนรอไว้อยู่แล้ว ประมาณว่า ถ้าอยากไปเที่ยวไหนก็บอกกับตัวเองไปก่อนว่า อย่าเพิ่งไป มีทริปนั้นรออยู่ ได้กุศโลบายในการหลอกตัวเองเพื่อไม่ต้องใช้เงินได้อีก :P

ของที่เตรียมก่อนวันเดินทาง

สัมภารก เป้หนึ่ง กระเป๋าลากหนึ่ง กระเป๋าสะพายแบบหยิบของง่ายอีกหนึ่ง

รายการของที่ต้องเตรียม ผมทำเป็น Check-list ไว้

Boarding pass คราวนี้เช็คอินผ่านเว็บไว้ โชคดีได้ริมหน้าต่างไม่ต้องจ่ายเพิ่ม

แผนที่พร้อมตำแหน่งสถานที่ต่างๆ เผื่อมือถือใช้ไม่ได้

คูปองต่างๆ ที่ซื้อไว้

อโกคดาอัพยาลาภา

Ingress map อันนี้พลาดไม่ได้ ไว้วางแผน
กลับมาที่การเดินทางต่อ เริ่มต้นที่ตื่น ผมมักจะกำหนดเวลาให้พอดีๆ เนื่องจากสนามบินอยู่ใกล้บ้าน (นี่เป็นครั้งที่ 2 ที่จะได้ใช้บริการดอนเมืองหลังจากที่กลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง) และการกำหนดเวลาแค่พอดีๆ นั้น มันทำให้ผมใกล้ตกเครื่องทุกครั้งไป ครั้งนี้ภริเลยไม่ยอมครับ ไม่อยากจะเสียวไส้แล้ว เลยไปกันแต่ไก่โห่เลย (ไก่ยังไม่ตื่นเลยด้วย) กำหนดการคือ ล้อหมุน 06.35 ดังนั้นเคานท์เตอร์เช็คอินปิด 05.55 แต่ต้องเผื่อเวลากรอกใบผ่าน ตม. และเข้าคิว บวกกับเผื่อเวลาหลงทางกับตามหาเกตอีก ผมประเมินคร่าวๆ ว่า ไปถึงสนามบินสัก 05.30 ตื่นสัก 04.15 แบบนี้น่าจะพอ แต่ตามที่บอกครับ ภริไม่ยอมพวกเราเลยต้องตื่นกันที่ 03.45 เพื่ออาบน้ำ และทานข้าวเช้า (ทานข้าวเช้าตอนตี 4) ต้องทานจริงๆ ครับ เพราะเครื่องออก 06.35 และผมจะไม่จ่ายค่าอาหารบนเครื่องบินที่แพงกว่ากินบนดิน 3 - 4 เท่าแน่ๆ (แต่ทริปก่อนก็โดนไปแล้วมื้อนึง) ซึ่งพวกเราก็กินกันไม่ค่อยลงครับ เพราะมันไม่ใช่เวลาอาหาร แต่ก็พยายามยัดไป



ถึงสนามบิน ไม่มีอะไรลำบากครับ อาคารในประเทศกับต่างประเทศอยู่ที่เดียวกันเลย ให้แม่ไปส่ง พอลงรถปุ๊บก็เดินทะลุไปตามปกติ ที่รู้สึกพิเศษมากคือ ไม่ต้องต่อแถวเช็คอินเนื่องจากเช็คมาแล้ว เดินผ่านไปเลย VIP สุดๆ ก็เข้าด่าน ตม. กรอกใบขาออกตามปกติ เสร็จก็ค่อยๆ เดินไปเกต


ตรวจสอบเที่ยวบินกับเกตให้เรียบร้อย

แวะถ่ายภาพ

ดูของเล็กน้อย

นักท่องเที่ยว เข้าคิวขอคืนภาษี แต่จริงๆ ในสนามบินเขาไม่เก็บอยู่แล้วหรือเปล่า

พี่แมค จริงๆ เขาชื่อโรนัลตะหาก

ร้านอาหารรายทาง

ไม่ได้แอ้มเงินฉันหรอก

คิดถึงทางเลื่อนที่สุวรรณภูมิ




มางานงอกเอาตรงนี้ครับ เกตร้าง ถูกแล้ว เล่นมาถึงกันตี4ครึ่ง เป็นอันว่าหง่าวครับ แต่ไม่เป็นปัญหากับผมอยู่แล้วครับ เมื่อเวลาเหลืออีกเยอะก็ นอนแม่งเลย ซึ่งคนที่มาเร็วเขาก็นอนกันนะ ไม่ได้แปลกอะไร เก้าอี้ก็เหมาะแก่การนอนมาก คือ มันไม่มีที่ท้าวแขน นอนยาวๆ ไปได้เลย สบายมาก รู้สึกตัวอีกทีก็สว่างครับ พักนึงก็ขึ้นเครื่องเลย ขึ้นเครื่องสักพักยังนอนได้อีก ชิวไป


ร้างคับ ตี 5 ได้มั้ง

เช็คป้ายเกตอีกรอบ ถูกต้อง

ระหว่างรอ

มีลานของเล่นเล็กๆ ให้เด็กๆ ได้ลุ้นหัวแตกกันด้วย

เป็นบริการของนกแอร์ (มาให้บริการฝั่งผู้โดยสารนอกประเทศด้วย)

ซนเป็นลิงเลย

เครื่องต่องวงช้างแล้ว แต่อันนี้ของเกตอื่น

หมามองเครื่องบิน

ถ่ายคู่นึดนึง

ไฟนอลคอล คราวนี้เรามาถึงก่อนครับ มีพัฒนาการนะนี่

นั่งกันเรียบร้อย

งงๆ ว่า รอบนี้เอาของเหลวขึ้นเครื่องได้
เจอความกดอากาศเข้าไป ขวดบี้เลย

เพื่อนร่วมทางพกมาชิตะมากินด้วย คงเอาไว้กินเวลาอยู่ในบ่อน :P


ถึงที่หมาย

ที่หมายของเราคือ สนามบินมาเก๊าครับ สนามบินมาเก๊ามันชิวมาก ไม่ค่อยมีคน โล่งๆ เล็กๆ เห็นแล้วนึกถึงสนามบินขอนแก่นเลย พอลงเครื่องก็รีบหาทางออกครับ เพราะต้องไปต่อเรือเพื่อข้ามไปฮ่องกง เนื่องจากวางแผนไว้ว่าคืนแรกนอนฮ่องกง ดังนั้นอย่าเพิ่งมาเสียเวลากับมาเก๊า รีบไปหาท่าเรือก่อน ผมเดินตามคนออกมาจนถึงด้านนอกสนามบิน งงครับว่าจะไปท่าเรือยังไง คือหาข้อมูลมาแล้ว ตั้งใจว่าจะเดินไป แต่ตอนนี้ยังหลงทิศอยู่ แต่ไม่มีปัญหาครับ ควักมือถือขึ้นมา เราตั้ง Map Offline เตรียมไว้แล้ว พอเปิดปุ๊บ Map มาเลยครับ แต่พิกัดไม่มา เฮ้ย ไรวะ ต้องการพิกัด GPS ต้องเปิด Data ด้วยรึ พอมือถือใช้ไม่ได้ก็ต้องถามละครับ ผมก็ควักแผนที่ที่ปริ๊นท์มาเดินไล่ถาม พอถาม ไม่มีใครตอบครับ ตอนนี้คำเตือนของ @anoochit ลอยมาเลยครับ “การเที่ยวประเทศที่มันไม่พูดอังกฤษนั้นมันนรกมาก” คราวนี้เลยต้องถามเจ้าหน้าที่ครับ ถามอยู่จนถึงคนที่ 3 หรือ 4 นี่ละครับ ถึงจะมีคนยอมพูดกับผม พอได้ทิศทางที่จะไปท่าเรือ ก็เดินไปเลยครับ

เดินมาท่าเรือก็หลงๆ อยู่ที่ทางเดินพักใหญ่ กว่าจะถึงโซนที่ขายตั๋ว คือ ทางเดินจากสนามบินมาท่าเรือมันไม่มีคนเลยครับ วังเวงมาก ถ้าเป็นตอนดึกต้องมีซอมบี้โผล่มาแน่

พอมาถึงท่าเรือก็ซื้อตั๋วเลยครับ ผมเดินหาช่องจำหน่ายตั๋ว Cotai Jet เพราะมีโปรโมชั่นเดือนเกิดของภริ คือเกิดในเดือนที่จะต้องเดินทาง (ต้องซื้อที่เคานท์เตอร์เท่านั้น เป็นที่มาว่าทำไมไม่ซื้อตั๋วตั้งแต่กรุงเทพ) ก็เป็นอันว่า ผมได้นั่งฟรีคนนึง (ผู้ติดตาม) เลยเท่ากับว่า ผู้ใหญ่ 1 แถม 1 แล้วก็ตั๋วเด็กอีก 2 (โปรนี้จะต้องซื้อแบบไป/กลับ ดังนั้นถ้าจองตั๋วกลับที่ฮ่องกงในตอนแรกก็ไม่ได้สิทธิ์นี้) สรุปราคาตั๋วออกมาที่ 4149.97 บาท จากที่ประเมินไว้ที่ 4,800 บาท ซึ่งก็โอเคอยู่

ลงเครื่อง

มีรถมารับตามปกติ

ออกจากสนามบินก็รีบเดินไปท่าเรือ

ทางเดินครับ ด้านหน้าเป็นคนมาเที่ยวชาวมาเล เขาก็หลงๆ เหมือนเราครับ แต่เขาอ่านป้ายภาษาจีนได้

ผ่านจุดซื้อตั๋วกับ ตม.มาแล้ว อันนี้เดินไปขึ้นเรือ

เรือครับ

เป็นแอร์ด้วย

ค่าเรือ

ตั๋วเรือครับ ได้มาทั้งขาไป ขากลับ

ลาก่อนมาเก๊า อีก 3 วัน เจอกัน


ตอนซื้อตั๋วนี่นรกมาก เจ๊ที่ขายตั๋วพูดอังกฤษไม่ชัด ซึ่งก็ไม่แปล ไม่ใช่เจ้าของภาษานี่หว่า เราเองก็พูดไม่ชัด แต่พอเราฟังไม่รู้เรื่อง แทนที่แกจะอธิบายใหม่ เปลี่ยนสำเนียงหรืออื่นๆ แกเสือกโกรธครับ คือไม่รู้จะโกรธเอาอะไร คือ พูดแล้วไม่เข้าใจ แก้ไขด้วยการพูดแบบเดิมแล้วเพิ่มความโกรธเข้าไป มันจะช่วยให้อะไรดีขึ้นไม่ทราบครับ (และตลอดทริปผมก็เจออะไรแบบนี้เรื่อยๆ เลย นรกมาก) เรื่องที่คุยกันไม่รู้เรื่องสุดคือ แกถามผมว่า จะกลับวันไหน เขาถามว่า “What day you back” ผมตอบไปว่า “Tuesday” (ขึ้นเรือวันอาทิตย์) แกก็ถามผมแบบเดิมอีก ซึ่งแน่นอน ผมตอบแบบเดิม วนอยู่ 3 - 4 เที่ยว จนแกหยิบปฏิทินขึ้นมาให้ชี้ ทำให้ผมเข้าใจได้ว่า ผมผิดเองที่ตอบชื่อวัน แทนที่จะตอบเป็นตัวเลขวันที่ แต่ก็อย่างที่บอก คนไม่เข้าใจ อธิบายแบบเดิมมันก็ได้คำตอบแบบเดิม ยิ่งใส่ความโกรธเข้าไปก็มีแต่จะแย่ลง

เมื่อได้ตั๋วเรือก็ได้เวลาวิ่งครับ เพราะใกล้เวลาที่เรือจะออกแล้ว จากที่ซื้อตั๋วเรือ เดินผ่าน ตม. แล้ววิ่งอีกพักนึงก็เจอเรือแล้วครับ

ขึ้นเรือแป๊บนึงเรือก็ออกครับ นั่งให้หายเมื่อยได้สักพักก็เริ่มเดินครับ เริ่มจากย้ายที่นั่งก่อน ได้ที่นั่งกลาง เพราะเป็นที่นั่ง 4คน ก็ย้ายครับ หาริมหน้าต่างนั่ง นั่งได้สักพักเริ่มอยากสำรวจครับ ควงกับพอดีออกไปซนในบริเวณเรือ เดินไปสักพักเห็นกระดาษเสียบอยู่ อ้าวใบผ่าน ตม. นี่หว่า เลยต้องรีบเอามากรอกอีกครับ กรอกกันแทบอ๊วกล่ะ เรือโคลงเคลงอีกด้วย

มาถึงท่าเรือแล้ว ท่าเรือฝั่งฮ่องกงจะมีสองท่าด้วยกันคือ ฝั่งเกาลูน และฝั่งฮ่องกง ผมนั่งมาลงฝั่งฮ่องกง เพราะเรือของ Cotai จะไปลงฝั่งเกาลูนแค่วันละรอบเท่านั้น ซึ่งเวลามันไม่ได้กับที่ต้องการ พอลงเรือแล้ว สิ่งที่ต้องทำคือ หาทางลงรถไฟใต้ดินเพื่อไปยังที่พัก การจะไปรถไฟใต้ดินนั้นไม่ยากครับ เพราะมันอยู่ใต้ตึกที่ลงเรือเลย เพียงแต่กว่าจะหาคำตอบจากคนแถวนั้นได้นี่แหล่ะ

พอได้คำตอบจากยาม หลังจากโดนปฏิเสธที่จะตอบคำถามจากหลายท่านแล้ว เราก็ต้องหาของกินกันครับ เพราะมื้อเช้ากินกันไม่ค่อยลง และนี่ก็ใกล้เที่ยงแล้ว ไม่รู้จะกินไรดี เลยซัด KFC ในห้างมันนั่นแหล่ะ

ลงเรือ

อาคารท่าเรือ

เดินไป ตม. อีกรอบ

มุมมองจากในอาคาร

อีกมุมนึง

มื้อเที่ยง

เจอราคาทำเอาผมอิ่มทิพย์ไปเลย
 ที่กินไปเป็นชุดไก่ 2 ชิ้น + โค้ก กับ 1 เครื่องเคียง จัดมา 2 ชุด ชุดละ 35.9 HKD (ประมาณนี้ถ้าจำไม่ผิด) เท่ากับว่ามื้อนี้หมดไปประมาณ สามร้อยกว่าบาท ทำเอาผมกังวลกับอาหารมื้อถัดๆ ไปกันเลยทีเดียว

ทานเสร็จก็ตามหารถไฟต่อครับ จริงๆ มันไม่ยากเลยถ้าเรารู้ทาง แต่มันยากตรงทำยังไงให้รู้นี่แหล่ะ :P ที่หมายถัดไปคือที่พัก แถวมงก๊กครับ

เดินลงใต้ดินไปสถานีรถไฟ

เจอแล้ว Sheung Wan Station
มีวางของขายกันข้างทางด้วย สืบราคาแล้ว แพง แต่เหมือนว่าที่นี่ต้องต่อราคาสัก 50% ถึงเป็นราคาจริง (คงเป็นบางอย่าง)

ทางลงไปรถไฟใต้ดิน ไม่ลึกมาก พอๆ กับบ้านเรา บรรยากาศดูทะมึนๆ แต่ไม่อับ ไม่น่ากลัวครับ

ภายในรถไฟ สว่าง สะอาด

คนนั่งกันเงียบๆ เรียบร้อย หลายท่านบอก ฮ่องกงเป็นจีนผู้ดี จะไม่เหมือนแผ่นดินใหญ่

เปลี่ยนรถที่สถานี Central

อันนี้เป็นช่องลมในำรถไฟ คือลมมันแรง และเย็นมาก เหมือนเขาใช้ลมจากภายนอกเข้ามาช่วย

ขึ้นสถานี Mong Kok แล้วก็ตามหาที่พักครับ
โชคดีที่ผมส่องๆ ตำแหน่งของอาคารมาจาก Street view แล้ว เลยพอรู้ว่าทางเข้าหน้าตาเป็นไง ขึ้นมาถึงชั้นของที่พัก กว่าจะคุยกันรู้เรืองก็นานพอควร แต่เขาก็เตรียมห้องไว้ให้เรียบร้อยละ ขอบคุณ Agoda

ห้องสำหรับ 4 คน เตียงละ 2 คน แคบๆ

มีหน้าต่างด้วย

อยู่ชั้น 18 มองอะไรไม่ได้มาก ไม่มีระเบียง หน้าต่างมีเหล็กดัดอีก

ผมว่า ผมคนเดียวก็เต็มเตียงละ

มีกาต้มน้ำให้ ส่วนปลั๊กไฟเป็น Universal ไว้แล้ว เลยสบายหน่อย

เก็บของเสร็จก็ออกเดินทางทันที

ทางเดินในอาคารที่พักแคบมาก

แผนการของวันนี้คือ เที่ยว Momg Kok และ Tsim sha tsui เพราะอยู่ฝั่งเกาลูนทั้งคู่ และเวลาก็เหลือแค่ช่วงครึ่งวันบ่ายด้วย


ไม่รู้ต่อคิวซื้ออะไรกัน

คนเยอะมาก

ร้านขายมือถือ ไม่ได้เข้าไปดู เพราะคิดว่าไม่ซื้อแน่ๆ ทั้งเครื่อง หรือซิม

กิจกรรมถนนคนเดิน

รู้สึกว่าตรงนี้จะเป็นเลดี้มาร์เก็ต

อีกมุม

ร้านข้างทางกับร้านแบรนด์แนมปนๆ กันเป็นปกติ

ห้องแถวด้านล่างตกแต่งสวยงาม ตึกด้านบนโทรมๆ เป็นแบบนี้แทบทั้งหมด

รอข้ามถนน

อันนี้เป็นชั้นใต้ดินของตึก มีขายของเล่น ถ้าไม่หาข้อมูลมาก่อนไม่ทีทางเจอ เพราะมันอยู่ในหลืบ

มีรถเมลแบบเล็ก

และแบบใหญ่

แต่เราเลือกเดิน

ภริผมแวะนานมากแต่ละร้าน เอาพระมาเดินจงกรมแข่งพระก็น่าจะชนะละ

เสร็จจากแยก Mong Kok ก็เดินย้อนกลับทางถนนคนเดินต่อ
เป้าหมายถัดไป ไปสำเร็จโทษดีลแรกที่ซื้อมาครับ จัดการใช้เป็นมือเย็นซะ จริงๆ ก็ยังไม่เย็นดีนัก แต่เที่ยงกินกันไม่อิ่มเท่าไหร่เลยจัดซะหน่อย ร้านค้าอยู่แถว Soy street เดินไปได้ สบายมาก

ตัว Coupon ที่ซื้อมาก็รายละเอียดตามที่ลงไว้ในตอนที่แล้ว คือ เป็นร้านชื่อ Over sea dragon เป็นอาหารเลือกเป็นอย่างๆ ไป จานละ 20HKD ทานได้ 40HKD ซื้อมาทั้งหมด 4ใบ จ่ายไปที่ 330.73บาท

พอเดินเข้ามาในร้านก็ยื่นคูปองให้พนักงานพร้อมกับบอกไปว่า มารีดีมคูปอง พนักงานก็เชิญนั่ง พร้อมกับเอาเมนูมาให้ แล้วก็อธิบายว่า จากคูปองที่ซื้อมาเราสามารถเลือกอะไรได้บ้าง
ภายในร้าน

อีกมุม

เมนู

ด้านหลัง

พอสั่งเรียบร้อยก็รออาหารมาเสริฟครับ ในชุดจะเป็นอาหารหนึ่งอย่างให้เลือก พร้อมกับเครื่องดื่ม 1แก้ว เลือกระหว่างชากับน้ำเต้าหู้ ผมค่อนข้างงงๆ ว่า มึงจะกินน้ำเต้าหูอะไรกันในร้านข้าววะ ปรากฏว่า พออยู่ๆ ไป พบว่า แทบทุกร้านมันมีน้ำเต้าหู้กันหมดเลยครับ แล้วเขาก็กินกัน เหมือนกับที่เรากินน้ำอัดลมนี่ละ ตามชุดที่ซื้อมา มีให้เลือกระหว่าน้ำเต้าหู้กับ ชาโอเหลียง ตอนแรกก็นึกว่าน้ำโอเลี้ยง พอสั่งมาปรากฏว่าไม่ใช่

น้ำเต้าหู้กันทั้งโต๊ะครับ มีผมเป็นชาโอเหลียงคนเดียว

รอ

ของผมมาก่อน เป็นบะหมี่เนื้อ ราคา 42 HKD

อันนี้ของภริครับ เป็นข้าวไก่ทอดไข่ดาว ราคา 38 HKD

อันนี้ของพอเพียง บะหมี่เกี๋ยว ราคา 33 HKD

อันนี้ของพอดีไม่รู้เรียกอะไร น้ำคล้ายๆ กระเพาะปลา มีเส้น กับหอยนางรม ราคา 18 HKD (แต่ซื้อคูปองมา 20 T T)

แต่เจ้าตัวยืนยันว่าอร่อย

บิลออกมาแล้ว
ได้บิลที่ 307 แต่จ่าย 0 เพราะจ่ายไปแล้ว ยังงงๆ ว่ามัน 307 ยังไง เพราะในคูปองมันบอกว่ากินได้ 40 ดังนั้น ราคารวมมันต้องไม่เกิน 160 สิ แต่ช่างมันเถอะ เขาไม่คิดตังค์เพิ่มก็รีบๆ เดินออกมา

หลังจากมื้อนี้ก็พบว่า ที่ราคาอาหารมันแพงนั้น จริงๆ มันก็ไม่ได้แพงมากนักหรอก เพราะ 1 จานของเรา ปริมาณมันค่อนข้างมาก เรียกว่า 1 จาน กิน 2 คน หรือ 2 จานกิน 3 คนก็ยังพอได้

เสร็จจากของกินก็ไปต่อครับ คิวต่อไปคือ Tsim sha tsui

เดินออกมาเจอร้านขายขนมปัง เขาทำขายกันแบบนี้เลย

เดินมาสักพักเจอตลาดสด มีขายผัก

และผลไม้

ตึกสูงเน่าๆ สักมุม จากตลาดสดแถว Mong Kok

มีเขียงหมูด้วย

อันนี้คนละเจ้ากัน

เดินมาสักพักเจอ Jocky club แต่ไม่ได้ลองเข้าไปดูข้างใน

น่าจะเป็นแต้มต่อ

ถัดมาสักพักเจอร้านของกินครับ

เยอะมาก

แต่ไม่ได้ลอง

มีร้านนี้ได้ลอง

เพราะมันถูก

อันนี้ขายน้ำ

อันนี้ไม่รู้ไร

วอฟเฟิลฮ่องกงครับ ไม่ได้ลอง

ร้านข้างๆ เป็นชาไข่มุข แก้วละประมาณ 60 บาท แน่นอนว่า เราไม่ลองครับ

KFC ขี่คอ Burger king เครื่องยืนยันความคับแคบของเมือง

และแล้วก็ถึงป้ายรถเมล แต่ดูป้ายไม่รู้เรื่อง ทั้งที่วิ่งตรงไปเรื่อยๆ ก็ถึง แต่ไม่รู้ต้องนั่งคันไหน

หนุ่มหล่อคนขายนาฬิกาบอกว่า ป้ายนี้มันยกเลิก ให้ไปนั่งรถไฟ แต่เห็นคนเขาก็รอกันนะ

เลยอดนั่งรถเมลครับ ลงมารถไฟซะโดยดี

เดินไปๆ คนแน่นเลย

สักรูป

ถึงแล้ว สถานี Tsim sha tsui

ออกมาแล้วก็หาทางไปเดินฝั่ง Heritage 1881

เดินมุดทางลอด เจอสองหนุ่มนี้ เล่นเพลงกันเพราะดี

ไม่รู้อัลไล ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องรถ

ถึงแล้ว

1881 ของแท้

เจอกลุ่มวัยรุ่นเหมือนมาถ่ายภาพกัน

ส่วนของเราต้องถ่ายแบบแนวๆ

อีกสักมุม

อันนี้เป็นน้ำตก

จากด้านบน ถ่ายไปมุมมหานิยม
อันนี้เป็นด้านในของหอนาฬิกาครับ อยู่แถว Heritage นั่นล่ะ

จากหอนาฬิกามองลงไป

ไม่รู้อะไรไม่ได้อ่าน :P

รถโบราณ เขาห้ามจับนะนั่น

Heritage จากด้านข้าง

ไปเดินฝั่งตรงข้ามบ้าง

มองกลับไปที่ Heritage

เสร็จจาก Heritage ก็กลับมาเดินแถว Tsim sha tsui ครับ

เป็นย่านที่มีของขายเยอะ

คนพลุกพล่าน

พอไม่มีอะไรนักก็เลยเดินทะลุมาโซโก้

สวนด้านหลัง
 หาข้อมูลก่อนมา เขาบอกว่า มันจะมีการแสดงแสงสี โดยยิงแสงจากตึกฝั่งฮ่องกง แล้วเราสามารถยืนดูจากฝั่งเกาลูนได้ และเมื่อมันฟรี เราไม่ควรพลาดครับ มุมหนึ่งที่คนนิยมพอควรคือ Avenue of Stars ที่อยู่ด้านหลังโซโก้นี่ล่ะครับ การแสดงเริ่ม 2 ทุ่ม ก็รอไปครับ

เริ่มมืดละ

ได้เวลาชมการแสดง

พอถึงเวลาแสดง ผนตกครับ อดดู กลับ รอมาเป็นชั่วโมง

กลับมาลงรถไฟสถานี Tsim sha tsui ครับ

แวะเข้าห้องน้ำด้านล่าง มีป้ายสำหรับคนพิการด้วย เวลาลูบเพื่ออ่านตรงไหน ลำโพงก็จะพูดอธิบายด้วย

อันนี้ขึ้นรถไฟฝั่ง Mong Kok แล้ว ในภาพเป็นโรงหนังครับ โรงหนังเขาจะเป็นห้องแถว ไม่รู้เข้าไปเป็นไง

ย่านถนนคนเดินก็ยังคงเดินกันอยู่

ลงมาที่ร้านขนมครับ อีกหนึ่งคูปองที่ซื้อมา

เป็นพุดดิ้งในเปลือกไข่ ราคา 48 HKD จาก 78 HKD (197.18บาท) เอากลับขึ้นมากินบนห้อง

พรีเซนเตอร์

เด็กๆ บอกอร่อยมาก แต่ผมกินได้แค่ 3คำ ไม่อร่อยอ่ะ

ส่งสาวๆ ขึ้นห้องเสร็จ สองหนุ่มก็ลงมาเดินท่องราตรีต่อครับ ตามหาร้านขายของเล่น แต่ไม่ได้อะไรเลย ในภาพเป็นร้านขายซิม One 2 free แต่ไม่ได้ซื้อครับ คิดว่าไม่จำเป็นละ

ปิดท้ายด้วยห้องพักครับ City Trip ส่งให้ขึ้นมานอนที่นี่ แคบๆ แต่สะอาดอยู่ ทำเลใช้ได้
 เพิ่งจบหนึ่งวัน เหนื่อยใช้ได้เลย วันแรกที่ฮ่องกงพบว่า มันวุ่นวายดีแท้ เรียนตามตรงว่า ตอนแรกที่ไปถึง ผมอยากกลับกรุงเทพมากเลยครับ คนที่นี่ถามไรไม่ค่อยตอบ ชอบดุใส่ด้วย คนก็แออัด สถานที่ก็คับแคบ ทำเอาสงสัยว่าทำไมคนชอบมากัน แต่พอถึงที่พัก ได้พักผ่อนได้ออกไปเดินเล่นแล้วก็ผ่อนคลายขึ้นครับ คือ ช่วงแรกค่อนข้างเครียด เพราะดูไม่มีใครสนใจใคร ออกทางกังวลว่า เฮ้ย มันจะเบี้ยวที่พักกูมั้ย แล้วจะนอนไหน ซื้อตั๋วเรือถูกป่าววะ ตังค์แลกมาจะพอใช้มั้ยนี่

จบเท่านี้ก่อน ไว้โอกาสหน้าจะมาเก็บวันอื่นๆ ต่อครับ