4/11/58

A year passed MDD cure

ผ่านไป 1 ปี กับการเริ่มรักษาโรคซึมเศร้า พบว่าเรามันเป็นเรื้อรังจริงๆ คงได้กินยายาว ในา่สนของการรักษา วิธีที่ดีที่สุดคือ การออกจากสภาพแวดล้อมเดิมๆ ผมนึกถึงหนังเรื่อง "แฝด" ที่นางเอกมีอาการทางประสาท แล้วหมอแนะนำว่า "แค่กลับไปอยู่เกาหลีก็หายแล้ว" มันคือ แบบนั้นจริงๆ คือ ต้องออกจากสภาพแวดล้อมเดิม

แต่ในส่วนของผม ผมเลือกคงสภาพแวดล้อมเดิมไว้ อาจเพราะความฝังใจในวัยเด็กที่ความสัมพันธ์ครอบครัวไม่ค่อยดีนัก ผมจึงพยายามอย่างมากที่จะคงสภาพครอบครัวไว้ ก็คงเป็นปมในวัยเด็กเหมือนที่คนอื่นๆ ก็มีปมของแต่ละคน

คิดว่าอาการจะดีขึ้นได้คงต้องรอลูกโตเลย แต่เท่าที่สังเกตจากตัวเองแล้ว ด้วยสภาพแวดล้อมคิดว่าไม่หายแน่ๆ คงได้เป็นเพื่อนแท้และตายไปพร้อมกัน

รักเธอ MDD

3 month passed. without social

ผ่านไปแล้ว 3 เดือน กับชีวิตที่ปราศจากสมาร์ทโฟน และโซเชียลเน็ตเวิร์ค

โดยความรู้สึกของผู้ป่วยแล้วก็ถือว่าดีเลย คือ ไม่ต้องมากังวลว่า วันไหนเมียจะขุดเรื่องใคร Like ใคร Follow ทำไมเป็นเพื่อนคนนี้ ทำไมคุยกับคนนั้น คือ ปลอดภัยสบายตัวสุดๆ

ในแง่ของสังคมแล้ว เป็นอันว่าเหลือแค่ครอบครัวกับเพื่อนที่ทำงาน

ในส่วนของอาชีพการงานถือว่าเป็นปัญหาไม่น้อย เพราะในสายงานที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีแล้ว เป็นอันว่าเราจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย อย่าง mob F5 หรือพี่โดมไปเปิด domecloud.io อะไรพวกนี้คือ ผมไม่รู้เรื่องเลย เป็นคนนอกวงการโดยสมบูรณ์แบบ ทั้งที่โดยอาชีพแล้ว เราควรจะรู้ก่อน

การติดต่องานกับผู้คนก็เป็นไปได้ยาก เพราะช่องทางการติดต่อเหลือเพียงมือถือกับอีเมล ซึ่งปกติแล้วก็จะต้องติดต่อกันผ่าน Facebook หรือ Line

ในส่วนของสมาร์ทโฟน พอเปลี่ยนมาใช้ Feature phone แล้วก็เริ่มจะชินบ้าง แต่ก็ติดต่ออะไรใครไม่ได้สะดวกนัก จะใช้เครื่องมือต่างๆ ของ Google ก็ไม่ได้เลย เรื่องถ่ายภาพไม่ต้องถามถึง เรื่องเทคโนโลยีก็ ใครมาถามอะไรเกี่ยวกับการใช้งาน Android นี่ก็คือแทบไม่รู้เรื่องแล้ว

ก็เป็นความยากลำบากอันนึงของชีวิต แต่แลกกับการมีชีวิตครอบครัวที่สงบสุขแล้ว จะบอกว่าคุ้มก็น้อยไป

20/8/58

Short plan with mom

พ่อไม่อยู่แล้ว เหลือแม่คนเดียว ก็แผนที่มีในใจว่าอยากจะให้แม่ได้ทำ เอามาลิสต์ไว้ก่อน กันลืม
  • พากินปูอลาสก้า (แม่ชอบกินปูมาก รู้แหล่ะว่าปูอลาสก้ามันไม่ได้อร่อยนักหนา แต่อยากให้ได้ลอง)
  • กุ้งล็อบสเตอร์ด้วย
  • พาดินเนอร์ล่องเรือ (ชมวิวชิวๆ)
  • พาดูหิมะ
แผนในใจมีแค่นี้ ที่คิดว่าสำคัญและควรเอามาทำก่อน เพราะแม่อายุเยอะแล้ว การกินกับเที่ยวขึ้นอยู่กับสุขภาพฟัน และเท้า ดังนั้น ถ้าไม่รีบจัดซะตอนนี้ เดี๋ยวแก่ไปจะมาเสียดายว่าไม่จัดเสียแต่เนิ่นๆ บางท่านอาจมองว่า ด้วยวัยนี้และภาระที่ต้องรับผิดชอบ ควรเก็บเงินไว้ก่อน ซึ่งก็จริงแหล่ะ แต่ผมก็มีเหตุที่ตัดสินใจที่จะทำเรื่องที่อยากก่อนเช่นกัน :P

จริงๆ อยากมีประสบการณ์แบบนี้กับพ่อบ้าง แต่มันไม่ใช่แนวที่พ่อชอบอ่ะนะ พ่อชอบจะมีกิจกรรมกับเพื่อนเสียมากกว่า ตอนนี้ได้จังหวะจัดให้แม่แล้ว เดี๋ยวต้องรีบเข้า จะได้ไม่พลาด

30/7/58

My dad gone

ครับ พ่อผมตายแล้ว หรือจะเรียกเสีย หรือจะเรียกอะไรก็แล้วแต่ แต่ก็คือตายแล้วนั่นล่ะ

พ่อผมตายอายุน้อยมาก เพิ่งจะ 60 กลางๆ เอง จำไม่ได้ว่า 65 หรือ 67 แกเสียเมื่อวาน (29 ก.ค. 58) ที่โรงพยาบาลรามา สาเหตุการเสียชีวิตระบุว่า หัวใจวาย พ่อผมเป็นคนโรคเยอะ เนื่องจากกินเหล้าและสูบบุหรี่มาก ที่แย่เข้าไปใหญ่คือ แกไม่ค่อยดูแลตัวเอง แล้วก็เป็นคนไม่หาหมอ และไม่เชื่อหมอ ผมว่าอย่างหลังนี่อันตรายกว่าการกินเหล้าสูบบุหรี่อีกนะ :P

พ่อไปแล้ว แต่ผมไม่ค่อยรู้สึกอะไรเท่าไหร่ ก็รู้สึกเหมือนว่ามันก็คือวันปกติวันหนึ่ง ส่วนหนึ่งน่าจะเพราะแม่ยังอยู่ ก็เลยไม่ได้รู้สึกเคว้งอะไร คือ ยังมีที่พึ่งอยู่ และที่เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผมไม่ค่อยรู้สึกอะไรก็น่าจะเป็นเพราะพ่อกับผมนั้นไม่ค่อยได้มีปฏิสัมพันธ์อะไรกันมากนัก คือ แต่ละวันจะคุยกันก็แทบนับคำได้ เรียกได้ว่าแกแทบไม่มีตัวตนในชีวิตผมเลยก็ได้

พ่อตายแล้วดีมั้ย ? ก็ดีตรงที่แกไม่ต้องทรมานกับโรคอีก แม่ผมก็ได้ผ่อนคลายจากการดูแลพ่อลงไป แต่จริงๆ แล้วถ้าหายป่วยก็น่าจะดีกว่า :P แต่ด้วยความดื้อของคนป่วยก็ดูแล้วว่าไม่มีทางหายแหละนะ

อาจจะดูใจร้าย แต่สิ่งเดียวที่ผมนึกออกว่าจะต้องเสียไปจากการจากไปของพ่อก็คือ บำนาญในแต่ละเดือนที่แกได้รับ แน่นอนมันฟังดูเป็นความคิดที่แย่และเลวมาก แต่ผมก็นึกอย่างอื่นไม่ออกจริงๆ ว่าจะมีอะไรให้เสียไปมากกว่านั้น แต่ถ้าจะต้องให้พ่อนอนพะงาบอยู่โรงพยาบาลเพื่อแลกกับบำนาญที่ได้รับแล้ว ไม่คุ้มหรอก หลับให้สบายเสียยังไงก็ดีกว่า

ผมไม่สนิทกับพ่อ หรือจะเรียกว่าแทบไม่รู้จักกันเลย (แม้จะอยู่บ้านเดียวกัน) ก็ตาม แต่พ่อผมก็เป็นแรงบันดาลใจ และเป็นผู้ที่มีผลต่อวิถีการใช้ชีวิตของผมเป็นอย่างมาก

ผมไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่
ผมให้ความสำคัญกับครอบครัวเป็นอันดับแรก
เพื่อครอบครัวแล้ว ผมเลิกคบเพื่อน หรือเบือนหน้าหนีออกมาจากสังคมไหนๆ ก็ได้
ผมรู้ว่าครอบครัวต้องการอะไร
ผมรู้ว่าลูกต้องการพ่อแบบไหน
ผมรู้ว่าควรปฏิบัติตัวต่อผู้อื่นอย่างไร
ผมรู้ว่าความฝันของลูกนั้นสำคัญที่สุดในชีวิตของความเป็นพ่อแม่ และมันเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบ ที่เราจะพาลูกไปให้ถึงฝัน
การไม่ช่วยลูกทำตามความฝันว่าแย่แล้ว แต่การยัดเยียดความฝัยของเราให้ลูกรับผิดชอบกลับเลวร้ายยิ่งกว่า
ผมเห็นสังคมทหาร และวิถีชีวิต และวิธีคิดของทหารมาตั้งแต่เกิด และนั้นทำให้ผมปฏิเสธการเป็นทหารอย่างรุนแรง แม้ว่าทหารที่เข้าท่าจะมีอยู่บ้าง แต่ไอ้ที่ไม่เข้าท่าน่ะ เยอะมาก

ถึงผมจะไม่ค่อยได้พูดคุยอะไรกับพ่อมากนั้น แต่การที่ผมโตมาเป็นแบบนี้ได้ ก็คงต้องขอบคุณพ่อแหล่ะมั้ง

พ่อไม่อยู่แล้ว มีความฝันอีกหลายอย่างที่ผมจะทำได้ โดยไม่มีใครขัดแล้ว อย่างแรกปลายปีคงได้พาแม่ไปสิงคโปร์ (ถ้าพ่ออยู่แม่ก็ไม่ได้ไป) แล้วก็ผมอยากพาแม่ไปดูหิมะ คงได้หาโอกาสได้สักที แล้วช่วงหยุดยาวก็คงพาแม่ไปเที่ยวต่างจังหวัดได้แบบสบายๆ โดยที่พ่อไม่ต้องหอบเพื่อนไปให้แม่ต้องคอยรับใช้ :P เหมือนว่าผมจะดีใจเสียมากกว่าที่พ่อไม่อยู่แล้วนะเนี่ย T T แต่เอาเถอะ ในเมื่อมันเป็นความรู้สึกของเรา แล้วเราจะต้องไปโกหกตัวเองทำไม

อ่อ ตอนไปเซ็นทำเรื่องใบมรณะบัตร พบว่า ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่มีอายุอยู่ในช่วง 50 - 70 ปี ซึ่งอายุน้อยมาก แถมตอนทำเรื่องยังโดนพยาบาลตำหนิเล็กๆ เพราะผมทำอะไรไม่ค่อยถูก ไม่รู้ว่าต้องทำอะไรยังไง แหม่ อยากจะบอกพยาบาลจังว่า พ่อกูตายครั้งแรกเว้ย ยังไม่เคยมีประสบการณ์

28/7/58

New device New lifestyle

สืบเนื่องจากบล็อกที่แล้ว ผมตัดขาดจากโลกโซเชียลทั้งหมด และเพื่อความปลอดภัย ผมตัดสินใจกลับมาใช้ Feature phone ดังนั้น ตามที่คาดเดาว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงกับชีวิตผมบ้าง ก็คงจะตามนี้

  1. แปลนมือถือคงเปลี่ยนกลับมาเป็นเติมเงิน เพราะไม่ได้ใช้เน็ตแล้ว
  2. มือถือคงซื้อเป็น Java phone เพราะอย่างน้อย อยากให้มัน Sync contact จาก Google มาได้
  3. ไม่แน่ใจว่าจะต้องพกกล้อง Compact มั้ย หรือถ้าหา Java phone ที่ถ่ายรูปดีๆ หน่อยได้ก็จะดี
  4. ซื้อ 3DS เล่น เพราะไม่มีเกมมือถือเล่นแล้ว
  5. คงต้องวางแผนอะไรมากขึ้น เพราะไม่มี Smart phone เป็นผู้ช่วยหลักแล้ว
  6. อดใช้ Misfit ด้วย เพราะไม่มีเครื่องให้ Sync เดี๋ยวคงยกให้น้องแทน

ก็ยังเป็นแค่แผน เพราะวันนี้เพิ่งเริ่มใช้ Feature phone เป็นวันแรก (เอาเครื่องเก่าของเมียมาใช้ เป็น LG รุ่นอะไรก็ไม่รู้) เดี๋ยวรอดูว่าต่อๆ ไปจะเป็นยังไง

Good bye social

ลาก่อนโลกโซเชี่ยล

เมื่อวานโดนเมียซักมาทางไลน์ ว่าเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งใน FB นั้นคือใคร ก็แน่นอน ประมาณว่าหึงแหล่ะ (แล้วถ้าคุณรู้ว่าคุณเพื่อนผู้หญิงใน FB คนนั้นคือใคร บอกได้เลยว่าคุณจะฮามาก) และด้วยความที่ผมยังไม่หายดีจากโรคซึมเศร้า (หมอบอกว่า ผมมีอาการเป็นเรื้อรัง แต่โชคยังดีที่ผมยังไม่ถึงขั้นไบโพล่า หมอว่างั้น)

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมโดนเมียจับผิดในเรื่องอะไรประมาณนี้ และหลายๆ ท่านก็น่าจะมีความเห็นว่า "มึงน่าจะชินได้แล้วนะ" และที่เมียมักจะให้เหตุผลเสมอก็คือ "ก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย ก็แค่ถาม" แต่ก็นั่นแหล่ะ คุณสามีย่อมรู้ดีว่าคำถามแบบนี้มันสร้างความรู้สึกอย่างไรให้ และแน่นอนว่า กับคนที่มีอาการซึมเศร้านั้น มันเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย

อย่างที่บอกว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรก และเช่นกัน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมหวังว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้าย ทุกครั้งที่เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นและเหมือนว่าจะคุยกับคุณเมียได้รู้เรื่องแล้ว และเราก็คาดหวังว่า "เอาน่า เมียเข้าใจแล้ว มันจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกแล้วล่ะ" แต่แน่นอนว่ามันไม่ใช่แบบนั้น

ก่อนนี้ผมเองก็ถอยมาเยอะแล้ว ผมหายตัวออกไปจากโลกชุมชน ผมไม่โผล่ไปงานรวมตัวใดๆ ทั้งสิ้น ทั้ง Meetup และสัมมนาต่างๆ (ยกเว้นที่จัดโดยออฟฟิศซึ่งต้องไป) เมื่อถอยออกจาก Physical world แล้วยังไม่ปลอดภัยพอ ก็ถึงคราวของ Digital world บ้าง

หลายคนบอกว่า การเอาตัวออกจากสังคมจะยิ่งอันตรายสำหรับคนเป็นซึมเศร้า เพราะอาการมันจะยิ่งทรุดลง แต่ก็นั่นแหล่ะ จะให้ทำยังไง ในเมื่อหันหน้าไปทางไหนมันก็อันตรายอยู่ดี ดังนั้น ผมก็ต้องเลือกทางที่อันตรายน้อยสุด หมอบอกว่า อาการของผมเรียกว่าเป็นการเข้ามุม ก็ได้แต่หวังว่าาสักวันเมียจะเลิกต้อนผมเข้ามุมเสียที ฮาาา

เพื่อป้องกันความเสี่ยง และมุ่งหน้าสู่การแก่ตาย (ถือเป็นเป้าหมายใหม่ของผมเลย ต้องอยู่ไปจนแก่ตาย) ผมจึงจำเป็นต้องทำอะไรสักอย่างกับชีวิตในโลกโซเชียลของผม เผื่อไม่ให้ผมต้องตกอยู่ในภาวะเสี่ยง (ที่จะไม่ได้แก่ตาย ฮาาาา) อีก ผมเลยคิดว่าจะลบ Account FB ทิ้งซะ แต่ชั่งใจอยู่ไม่นานนัก ก็คิดได้ว่า ลบทิ้งไม่ได้ เพราะบัญชีหลายอย่างผูกกับ FB อยู่ อย่างน้อยๆ ก็ด่านใน Candy crush ล่ะ :P ก็เลยไปจบที่ลบเพื่อนทั้งหมดแทน ตอนนี้ใน FB ผมเหลือแค่พอดีกับพอเพียงเป็นเพื่อน แล้วใน Twitter ก็ Unfollow เกลี้ยงเลย เพื่อให้ไม่ต้องโดนเมียยิงคำถามอีกต่อไป

ผมจะเสียอะไรบ้าง

แน่นอน สถานะทางสังคม เหมือนกับที่สุกรีหายไปจากโลกนี้ ผมก็สุกรี2 นี่ล่ะ ที่จะหายไป, การงาน และคอนเนคชั่นที่จะหายไป แต่มันจะไปสำคัญอะไร ในเมื่อสิ่งที่ผมได้มาคือชีวิตทั้งชีวิต สิ่งที่ทำมันก็แค่ เอาสถานะทางสังคมมาแลกกับความสุขของครอบครัว มันคุ้มค่าเห็นๆ

ตอนนี้ที่ยังเหลือก็คือ Google+ และเพื่อความปลอดภัย ผมคงต้องไล่ลบเพื่อนไปเรื่อยๆ :P

ลาก่อนโลกโซเชียล

ปล.ทั้งหมดนี้ไม่ได้อยากจะตำหนิเมียหรือจะขอความเห็นใจจากใคร ก็แค่อยากทิ้งเรื่องราวไว้ เผื่อว่ามันจะเป็นประโยชน์กับใครแม้สักคน
ปล2. เมื่อเช้าเห็นข่าวพี่เทือกสึกแล้ว กับอีกข่าว ท่านประยุทธ์ปลดล๊อก ให้เอานักการเมืองเข้ามาทำงานบริหารได้ แหม่ ช่างอยากคุยกับเพื่อนคอการเมืองแท้ แต่ก็ต้องตัดไป รักษาชีวิตรอดเป็นสำคัญ :)
ปล3. ลาก่อน ความหวังที่อยากจะได้ Android One, Moto G, Nexus phone #ร้องไห้หนักมาก

25/5/58

Me 3.0

คนเราเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงมันก็เปลี่ยนแปลงอยู่ดี (มากน้อยอีกเรื่องหนึ่ง) เวลาที่ผมนึกกลับไปถึงตัวเองในสมัยประถม  (หรือเด็กกว่านั้น) ผมมองไม่ออกเลยจริงๆ ว่าจะเป็นคนเดียวกับตัวผลในขณะนี้

ด้วยเวลาเปลี่ยน สิ่งต่างๆ ที่ผ่านเข้ามา เรารับรู้สิ่งต่างๆ ข้อมูลต่างๆ ผมรู้สึกว่าตอนนี้ผมขยับจากเดิมมาเป็นคนใหม่ เป็นรุ่น 3.0

ทัศนะที่เปลี่ยนไปมาก แนวคิดเรื่องศาสนา สังคม การเมืองที่เปลี่ยนไป


  1. ผมไม่เคารพธงชาติ ก็แล้วแต่โอกาส แต่ผมไม่อยากยืนแล้ว ถ้าจะต้องยืนเพราะกลัวความแตกต่าง ถ้าผมจะยืน ขอให้ผมรู้สึกรักชาติจริงๆ ก่อน แน่นอน ต้องมีคนบอกว่า "ไอ้นี่มันแค่อยากเด่น" แต่ผมก็บอกได้เหมือนกันว่า "มึงก็แค่กลัวเป็นตัวประหลาด" ผมขำมาก เวลาที่ใครบอกว่า ต้องยืนเคารพธงชาติเพราะรักชาติ แต่เวลาอยู่ในบ้านหรือเวลาไม่มีคนเห็นก็ไม่เห็นจะยืน แล้วบอกว่า "ถึงตัวไม่ยืน แต่ใจยืนนะ" ก็ชวนให้สงสัยว่า แล้วเวลาเราไม่ยืนมันไม่คิดบ้างเหรอว่าใจเรายืนอยู่
  2. เลิกนับถือศาสนา แต่คงไม่ถึงกับไปเปลี่ยนในบัตรประชาชนล่ะครับ ก็คงปล่อยเดิมๆ ไว้ เพราะมันก็ไม่ได้มีสาระสำคัญอะไร จุดเปลี่ยนจริงๆ ที่ทำให้ผมรู้สึกว่า ไม่จำเป็นต้องนับถือศาสนามาจากหนังสือ A Brief History of Time ของ STEPHEN HAWKING ซึ่ง ลุงแกบอกประมาณว่า ที่เราเชื่อว่าแบบนี้แบบนั้น (เชื่อตามที่ศาสนาบอก) เพราะเราสบายใจที่จะเชื่อ และมีตัวอย่างประกอบ ซึ่งผมจำไม่ได้แน่นอน แต่ออกแนวประมาณว่า "คนประสบทุกข์เพราะกรรม" จริงๆ แล้วมันคือ "เราคิดว่าคนนั้นมีกรรม เพราะเขากำลังประสบทุกข์" คือ เราคิดว่าสิ่งนั้นๆ เป็นเหตุของผล แต่จริงๆ แล้ว ตัวผลนั่นแหล่ะ เป็นเหตุของสิ่งที่เราคิด เรียกว่า ตาสว่างเลยทีเดียว
  3. ผมเห็นถึงความเชื่อมโยงของ ความเชื่อ ศาสนา เศรษฐกิจ และ การเมืองมากขึ้น และยอมรับได้ว่า มันเกี่ยวพันกัน และขับเคลื่อนซึ่งกันและกัน

แน่นอนว่า มันค่อนข้างใหม่ในสังคมบ้านเรา แต่ก็เป็นธรรมดาแหละ โลกหมุนไปเรื่อยๆ และเราอาศัยอยู่แค่ในห้วงเล็กๆ ของกาลเวลา
จบ

14/1/58

ทำไมถึงป่วย

จากบล๊อกก่อนที่ประจานตัวเองไปเรียบร้อยถึงอาการโรคซึมเศร้า ผมลองพิจารณาดูว่า ทำไมผมถึงป่วย

เมื่อคืนมีอาการเครียดรุนแรง โดยต้นเหตุจากคุณพ่อ

ขอเล่าเรื่องก่อน

  • ตอนเช้า พ่อให้นวดเฟ้น โดยไม่ได้สนใจว่าจะไปทำงานสาย ก็นวดไปตามคำสั่ง (มีหน้าที่ทำตามสั่งเท่านั้น อย่าได้เสนอแนะความเห็น :P เป็นเหตุหลักที่ผมปฏิเสธการเป็นทหาร) ก่อนออกจากบ้าน พ่อบอกให้จัดกิ่งองุ่นที่ปลูกอยู่หน้าบ้าน ซึ่งผมไม่ได้ทำให้ เพราะรีบมากแล้ว แล้วการจะรู้ว่าจะจัดไหนจัดให้เป็นยังไงจะเสียเวลามาก ดังนั้นผมเลยไม่ได้ทำ
  • กลับมาบ้าน แม่สั่งให้เข้าไปดูพ่อหน่อย (ประมาณว่า ให้ไปถามไถ่ เอาใจใส่ เพราะพ่อป่วย) โผล่หน้าเข้าไปเจอ พ่อถามว่า ได้จัดกิ่งองุ่นหรือยัง ผมตอบสั้นๆ ว่า "อือ" พ่อก็เริ่มโวยเล็กๆ (คือ ถามกลับว่า "อือ นี่คือ จัดหรือยังไม่จัด" โดยใช้น้ำเสียงแนวคำสั่ง) เพราะรู้ว่าผมไม่ได้ทำแน่ (ถึงบ้านก็ทุ่มแล้วจ๊ะ) ผมก็โวยกลับเล็กๆ ว่า "อือ แปลว่า ยังไม่ได้จัด" โดยพยายามคุมอารมณ์ไว้
  • ผ่านไปสักพัก อาการของผมเริ่มดีขึ้น ผมเลยถามพ่อว่า จะให้จัดกิ่งไหน (เพราะถ้ารอเช้า เดี๋ยวก็ไม่ได้ทำให้อีก) ก็คุยกันอยู่นานกว่าจะรู้เรื่องว่ากิ่งไหน (คนพูดก็พูดไม่ค่อยจะรู้เรื่อง คนฟังก็ตาไม่ดี) ก็หาอยู่นานจนเจอ ก่อนที่พ่อผมจะจบประโยคเด็ดว่า "กิ่งองุ่นแค่นี้ทำไมหายากจัง" (ต้องนึกน้ำเสียงตามไปด้วยนะครับ) ผมปรี๊ดแตกเลยครับ ที่พยายามเก็บมา เราก็พยายามจะช่วย จะทำให้ ทำไมต้องมาโดนอะไรแบบนี้

เลยพอจะได้คำตอบกับตัวเองว่า ที่ผมป่วยเป็นเพราะ ผมเก็บอารมณ์อยู่ตลอด พยายามไม่ทำร้ายความรู้สึกผู้อื่น (เพราะรู้เป็นอย่างดีว่าการถูกทำร้ายจิตใจมันเป็นยังไง) เลยกลายเป็นว่า ต้องแบกรับความรู้สึกแย่ๆ ที่บางครั้งไม่พอใจผู้อื่น แต่ก็ต้องเก็บไว้ เพราะไม่อยากทำร้ายจิตใจผู้อื่น ในขณะเดียวกัน ก็ต้องแบกรับความรู้สึกแย่ๆ ที่ผู้อื่นกระทำกับเรา เพราะเขาไม่ได้สนใจว่าเราจะรู้สึกอย่างไร

ซึ่งก็ไม่ใช่ความผิดพ่อหรอกครับ เพราะผมเองที่ถูกกระทำมาเนิ่นนาน แล้วคิดว่าสามารถเพิกเฉยได้ (เข้าใจผิดมาตลอด) จนกลายเป็นอาการเครียดสะสมนำมาสู่โรคซึมเศร้า

ทุกวันนี้ผมยังกลัวแม่อยู่เลย เวลาคุยอะไรด้วยผมจะไม่ค่อยกล้าสบตา ยกเว้นเรื่องขำๆ ตลกๆ หรือเวลาที่แม่อารมณ์ดีจัดๆ อยากมีไทม์แมชชีนย้อนไปดูจังว่าตอนเด็กๆ โดนอะไรมาบ้าง

เย่ๆ ดีใจจุง อย่างน้อยเราก็รู้จักตัวเองเพิ่มขึ้นอีกนิด

ปล. รักใครก็อย่าทำร้ายจิตใจเขาครับ เพราะอย่าลืมว่า เขาก็อาจจะรักคุณมากเช่นกัน